นายชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/62 เป็นที่น่าพอใจในสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีความท้าทายทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ และเชื่อว่าความต้องการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะใกล้รถไฟฟ้ายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ไตรมาส 2/62 บริษัทมีกำไรสุทธิ 120 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 79% และมีกำไรสุทธิครึ่งปีอยู่ที่ 352 ล้านบาท ลดลง 52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า ซึ่งสัดส่วนของโครงการร่วมทุนที่สร้างเสร็จพร้อมโอนน้อยกว่าในไตรมาส 2/61 ที่มีโครงการร่วมทุนขนาดใหญ่สร้างเสร็จและเริ่มโอน เช่น แอชตัน อโศก และ แอชตัน จุฬา-สีลม ซึ่งเป็นไปตามกำหนดการก่อสร้างแล้วเสร็จของโครงการ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความพร้อมในการปรับตัวและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ซึ่งเมื่อได้เปิดให้มีการจองซื้อมาระยะหนึ่งจึงได้ทราบว่ายังมีกลุ่มลูกค้าอีกเป็นจำนวนมากกว่า 3 เท่า ที่มีความสนใจและต้องการเข้าถึงโครงการดังกล่าว
ดังนั้น บริษัทฯ จึงพิจารณาและปรับรูปแบบโครงการ ไอดีโอ คิว พหลฯ-สะพานควาย ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและสภาวะตลาด โดยนำเทคโนโลยีการก่อสร้าง BIM และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัยอื่นๆ มาพัฒนาโครงการเพื่อให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยร่วมกับ Strategic Partner ทั้งหมด และคาดว่าจะสามารถนำเสนอราคาขายเริ่มต้นใหม่ได้ที่ 149,000 บาทต่อตารางเมตร
นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นด้วย โดยจะมีการเปิด Soft Opening สำหรับโครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ใหม่ระดับ Mid-End ในไตรมาส 4/62 และมีระยะเวลาการก่อสร้างแล้วเสร็จตามกำหนดระยะเวลาเดิมในไตรมาสแรกปี 65
ณ สิ้นไตรมาส 2/62 บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 33,200 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของยอดโอนในระยะ 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ที่จะโอนในปี 62 มูลค่ากว่า 12,240 ล้านบาท คิดเป็น 64% ของเป้ายอดโอนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยตั้งเป้ายอดโอนทั้งปีอยู่ที่กว่า 29,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง จำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 21,930 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า จำนวน 6 โครงการ มูลค่าโครงการ 20,496 ล้านบาท และโครงการแนวราบ URBANIO วิภาวดี-แจ้งวัฒนะ จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการ 1,434 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบแบรนด์ใหม่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
"ในส่วนของกระแสเงินสดของบริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดที่มีมากกว่า 5,900 ล้านบาท โดยบริษัทฯ คอยติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ และเตรียมพร้อมปรับแผนธุรกิจหากมีความจำเป็น เพื่อรักษาเสถียรภาพในระยะยาวของบริษัท
ทั้งนี้ แผนธุรกิจทั้งหมดของบริษัทนั้น ยังคงสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังคงตอกย้ำการเป็นผู้นำในตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมทั้งยังคงรักษาวินัยทางการเงินไว้อย่างเข้มงวด โดยจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ที่ 1 เท่า เป็นเป้าหมายระยะยาว และเราต้องมั่นใจว่าการเติบโตของบริษัทจะไม่เพิ่มความเสี่ยงซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงของบริษัทในระยะยาว" นายชัยยุทธ กล่าวเพิ่มเติม