นายสมพล เอกธีรจิตต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ลีซ อิท (LIT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 2/62 มีรายได้รวม 121.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.43 ล้านบาท หรือ 17.96% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 102.64 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/62 ที่ 36.27 ล้านบาท ลดลง 3.32 ล้านบาท หรือ ลดลง 8.38% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 39.59 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 62 มีรายได้รวม 232.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.62 ล้านบาท หรือ 7.69% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 216.28 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 68.88 ล้านบาท ลดลง 7.48 ล้านบาท หรือ ลดลง9.80% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 76.36 ล้านบาท ในขณะที่พอร์ตลูกหนี้สินเชื่ออยู่ที่ 2,717 ล้านบาท และมียอดปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 4,988 ล้านบาท
"เรายังคงวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปีนี้ที่ระดับ 10-20% ซึ่งในไตรมาส 2 เติบโตในเชิงรายได้ 17.96% โดยบริษัท ยังคงมีความเชื่อมั่นว่าหลังจากสถานการณ์การเมืองมีความชัดเจน ภาครัฐและเอกชนจะมีการขยายการลงทุนเพิ่ม ทำให้แนวโน้มความต้องการสินเชื่อของลูกค้าเอสเอ็มอีก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย"นายสมพล กล่าว
กรรมการผู้จัดการ LIT กล่าวว่าปีนี้บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy) โดยจัดทัพทีมการตลาดใหม่เพื่อบุกและรองรับการให้บริการในกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง ซึ่งแต่ละทีมจะมีผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละกลุ่มลูกค้า ทำให้สามารถคัดเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินของบริษัทที่มีความหลากหลายได้ตรงความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น บริษัทฯได้เสริมทัพทีมการตลาดเพื่อมาดูแลและเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ด้วย เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต พร้อมทัพเสริมดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่จะคอยให้การสนับสนุนเพื่อช่วยเจาะตลาดลูกค้าที่ต้องการสินเชื่อในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีสัดส่วนลูกค้าที่มาจากช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทฯยังให้ความสำคัญกับการสร้างยอดขายให้เติบโตจากฐานลูกค้าเก่าให้มั่นคงอีกด้วยซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีเป้าหมายเพื่อช่วยผลักดันให้พอร์ตสินเชื่อรวม พร้อมตั้งเป้าลดระดับNPLs ลง พร้อมผลักดันรายได้ปีนี้เติบโต 10-20% ทำสถิติสูงสุดได้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะมีจุดแข็งในแง่ของการปล่อยสินเชื่อได้อย่างรวดเร็ว ให้วงเงินสูง และไม่จำเป็นต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่บริษัทฯยังคง เข้มงวดและให้ความสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงควบคู่ไปกับการเพิ่มสัดส่วนรายได้สำหรับการให้บริการสินเชื่อประเภทต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน และกำหนดเป้าหมายการสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (Reserve) ในอัตราไม่น้อยกว่า 7% ของยอดลูกหนี้คงเหลือสุทธิจากหลักประกัน โดยมีนโยบายในการคัดกรองลูกค้าอย่างเข้มงวดเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน