ธนาคารทหารไทย (TMB) และธนาคารธนชาต (TBANK) เปิดแผนควบรวมกิจการระหว่างกัน ผลักดันขึ้นแท่นธนาคารพาณิชย์อันดับ 6 ของไทย โดย TMB เตรียมระดมทุนใหม่ 130,000 ล้านบาท ด้วยการเพิ่มทุนราว 100,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือออกตราสารหนี้เพื่อเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 และ 2 ด้านผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งรวมถึงกระทรวงการคลังพร้อมใส่เงินเพิ่มทุน ดันกลุ่ม ING ถือหุ้นที่ 21.3% บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) ถือหุ้น 20.4% กระทรวงการคลัง 18.4% และ Scotia Netherlands Holding B.V. (BNS) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ The Bank of Nova Scotia ถือหุ้น 5.6% โดยเบื้องต้นกระบวนการควบรวมจะเกิดขึ้นภายในปีนี้และเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2564
นายสมเจตน์ หมู่สิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ TCAP เปิดเผยว่า ชื่อแบรนด์ใหม่หลังการควบรวม TMB และ TBANK ซึ่งเป็นธนาคารในกลุ่ม TCAP นั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจาณาจากคณะกรรมการทั้งสองธนาคาร โดยที่แบรนด์ใหม่ของธนาคารจะต้องเป็นแบรนด์ที่สะท้อนคุณค่าของทั้งสองธนาคาร ซึ่งยังคงต้องรอหลังกระบวนการควบรวมเสร็จสิ้นทั้งหมด โดยภายในเดือนธ.ค.นี้ กระบวนการขายหุ้นของ TBANK ให้กับ TMB และการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ TMB เพื่อเข้าถือหุ้นใน TMB สัดส่วนราว 20% จะแล้วเสร็จ ขณะที่การควบรวมทั้งสองธนาคารคาดว่าจะเสร็จสิ้นทั้งกระบวนการภายในกลางปี 64
ทั้งนี้ ตามแผนบริษัทจะปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่ม โดยจะซื้อหุ้นของบริษัทลูกกลับคืนมา ได้แก่ บมจ.ธนชาตประกันภัย ,บล.ธนชาต ,บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที เอส จำกัด (บสส.ทีเอส) ,บมจ.ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี (PRG) และบมจ.เอ็ม บี เค (MBK) สำหรับการลงทุนอื่น ๆ บริษัทได้จัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle) ประกอบด้วย SPV1 และ SPV2 เพื่อซื้อหุ้นที่ถืออยู่ในสัดส่วนของ ธนาคารธนชาต กลับมายังบริษัท ได้แก่ บมจ.ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) และบริษัทลงทุนอื่น ๆ
ภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจ TBANK จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใน บลจ.ธนชาต (TFUND) และบริษัท ธนชาต โบรกเกอร์ จำกัด (TBROKER) ในสัดส่วน 75% และ 100% ตามลำดับ ซึ่ง TBANK จะขายหุ้น 75% ใน TFUND ให้แก่บุคคลภายนอก โดยคาดว่าจะสามารถขายหุ้นดังกล่าวได้สำเร็จก่อน หรือพร้อมกับการซื้อขายหุ้นระหว่างทั้ง 2 ธนาคารในครั้งนี้
หลังจากการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทแล้วเสร็จ TMB จะเสนอซื้อหุ้นสามัญของ TBANK จากผู้ถือหุ้นของ TBANK ทุกราย โดยจะชำระค่าหุ้นเป็นเงินสด และ TCAP กับ BNS ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของ TBANK จะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ TMB รวมถึงเข้าซื้อส่วนที่ TMB จะเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยของ TBANK เพื่อให้ TCAP เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยของ TBANK ต่อไปในภายหลัง โดย TCAP พร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของทีมผู้บริหารชุดใหม่เพื่อให้กระบวนการรวมกิจการสำเร็จด้วยดี
นายสมเจตน์ กล่าวว่า หลังจากเสร็จสิ้นการขายหุ้น TBANK ให้กับ TMB และการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ TMB แล้วเสร็จ บริษัทจะมีเงินเหลือจากดีลดังกล่าวกว่า 10,000 ล้านบาท จากเงินที่ได้รับเข้ามาทั้งหมดราว 80,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะนำเงินที่เหลือไปพิจารณาการลงทุนอื่นๆ ในอนาคต พร้อมกับการพิจารณาจ่ายเงินปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้นของ TCAP
ส่วนการพิจาณาขายบล.ธนชาต ซึ่งเป็นธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ขายไปให้กับ TMB ในดีลครั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่สนใจซื้อ และคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในเร็วๆนี้
ด้านทิศทางของ BNS ที่ยังมีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ 5.6% หลังการควบรวมในครั้งนี้ บริษัทยังต้องรอดูการประกาศนโยบายและแผนการลงทุนของกลุ่มโนวา สโกเทีย ที่จะมีการประกาศออกมาที่แคนาดาในเร็ว ๆ นี้ ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งจากที่ทราบกันว่ากลุ่มโนวา สโกเทีย มีแผนการลงทุนที่จะย้ายศูนย์กลางทางการเงินไปที่อเมริกาใต้ ทำให้มีการทยอยถอนการลงทุนในภูมิภาคอื่น ๆ ออกไป
แต่อย่างไรก็ตามบริษัทและ TMB ได้มีการทำข้อตกลงกับกลุ่มโนวา สโกเทีย ในกรณีที่ต้องการลดสัดส่วนการถือหุ้นจะต้องเป็นการทยอยลดสัดส่วนลงไป ไม่ใช่เป็นการขายหุ้นออกไปทั้งหมด เพื่อทำให้ไม่กระทบต่อผู้ถือหุ้นของ TMB
ด้านนายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ TMB กล่าวว่า ธนาคารจะมีการขายหุ้นของบลจ.ธนชาต ซึ่งธนาคารธนชาตถือหุ้นอยู่ 75% ให้กับ Eastspring Investment ซึ่งเป็นพันธมิตรกับธนาคาร และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บลจ.ทหารไทย (TMBAM Eastspring) ซึ่งธนาคารได้ทำ MOU ในการขายหุ้นของบลจ.ธนชาต หลังจากกระบวนการโอนกิจการของบลจ.ธนชาตเข้ามาแล้ว ซึ่งคาดว่ากระบวนการขายหุ้นบลจ.ธนชาตให้กับ Eastspring Investment จะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ และหลังจากนั้นจะควบรวมกับบลจ.ทหารไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่เหมือนกัน
ส่วนพนักงานของธนาคารธนาคารไทยและธนาคารธนชาตนั้น ธนาคารมองว่าดีลในการควบรวมครั้งนี้ยังมีความจำเป็นที่ต้องมีพนักงานมาเป็นกำลังในการดำเนินงานและช่วยขับเคลื่อนธนาคารต่อไป ซึ่งหลังจากการควบรวมทั้งสองธนาคารแล้วจะมีขนาดสินทรัพย์ที่สูงขึ้นเป็น 2 เท่า มาอยู่ที่กว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งพนันกงานของทั้ง 2 ธนาคารที่ปัจจุบันรวมกันทั้งหมด 19,000 คน อาจจะยังไม่เพียงพอกับการดำเนินงานของธนาคารหลังจากการควบรวมที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ขึ้น ทำให้ธนาคารยังต้องการทรัพยากรคนอยู่ เพราะธุรกิจของธนาคารเป็นของคน
ตามแผนการรวมกิจการดังกล่าว ธนาคารจะจัดหาเงินทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 130,000 ล้านบาทจากการออกหุ้นเพิ่มทุน (Equity Fund Raising) ซึ่งส่วนแรกนั้น จะเป็นการออกและเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของธนาคาร ตามใบแสดงสิทธิ (TSR) ในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถระดมทุนจากการออกหุ้นเพิ่มในส่วนนี้เป็นจำนวน 42,500 ล้านบาท ในส่วนที่สอง จะเป็นการออกและเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ บุคคลภายนอก และผู้ถือหุ้นเดิมของ TBANK ทุกราย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มทุนจากสองกลุ่มหลัง เป็นจำนวน 6,400 ล้านบาท และ 57,600 ล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากการจัดหาเงินทุนโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนแล้ว ธนาคารจะมีการออกตราสารหนี้ (Debt Financing) โดยการออกและเสนอขายตราสารทางการเงินที่นับเป็นกองทุนชั้นที่ 1 ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศ เป็นจำนวน 9,600-16,000 ล้านบาท และเสนอขายตราสารด้อยสิทธิที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน (Institutional Investor) และ ผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) จำนวน 15,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ธนาคารมีแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมจากตราสารหนี้อีกเป็นจำนวนไม่เกิน 20,000 ล้านบาท ในกรณีที่ต้องการเงินทุนเพิ่ม
จากประมาณการเบื้องต้น คาดว่าโครงสร้างการถือหุ้นของธนาคาร จะมีสัดส่วน ดังนี้ ING ถือหุ้นที่ 21.3% TCAP ถือหุ้นที่ 20.4% กระทรวงการคลัง 18.4% BNS 5.6% และผู้ถือหุ้นรายย่อย 34.3%
ด้านนายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ TBANK กล่าวว่า การปรับสาขาของทั้งสองธนาคารยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งอาจจะมีการปิดสาขาของธนาคารในบางพื้นที่ที่มีการทับซ้อนกัน โดยที่ปัจจุบันสาขาของทั้งสองมีรวมกันอยู่ 900 สาขา ส่วนการใช้บริการของลูกค้าในช่วงระหว่างการควบรวมยังใช้บริการตามปกติของแต่ละธนาคาร และจะรวมมาเป็นการให้บริการเพียงธนาคารเดียวในช่วงกลางปี 64 ซึ่งกระบวนการควบรวมกิจการแล้วเสร็จ
ส่วนโครงสร้างการบริหารปัจจุบันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยที่ผู้บริหารทั้งสองธนาคารยังทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันการเติบโตของทั้งสองธนาคารระหว่างควบรวมกิจการ ส่วนโครงสร้างการบริหารใหม่นั้นยังต้องการพิจารณาจากคณะกรรมการของทั้งสองธนาคาร ซึ่งจะมีการจัดสรรตำแหน่งการทำงานตามความเหมาะสม เพื่อร่วมกันบริหารธนาคารใหม่ให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"การรวมกิจการครั้งนี้ เป็นการผนึกกำลังความเชี่ยวชาญ และจุดแข็งที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะธนาคารธนชาตที่เป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ และทีเอ็มบีซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการระดมเงินฝาก ส่งผลให้การบริหารจัดการต้นทุนในการทำธุรกิจเกิดประสิทธิภาพรวมถึงโอกาสในการสร้างรายได้ที่มากขึ้นจากฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้นถึง 10 ล้านคน ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้า คู่ค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายต่อไปอย่างแน่นอน"นายประพันธ์ กล่าว
ด้านนายจุมพล ริมสาคร รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การรวมกิจการครั้งนี้ สอดคล้องกับแนวคิดของภาครัฐในการส่งเสริมการรวมกิจการเพื่อเพิ่มขนาดกิจการและศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงินของประเทศและเศรษฐกิจไทยโดยรวมนอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศให้เพิ่มการลงทุนในประเทศไทยด้วย โดยกระทรวงการคลังพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มเป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 11,000 ล้านบาท
รวมถึงมีสิทธิที่จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากการจัดสรรตามสิทธิที่พึงมีในกรณีที่มีผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่นๆ ไม่ใช้สิทธิเต็มจำนวน เพื่อคงสถานะหนึ่งในผู้ถือหุ้นหลัก เนื่องจากมีความเชื่อมั่นจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของ TMB รวมถึงศักยภาพของ ING ที่มีส่วนผลักดันในความสำเร็จของ TMB ให้เป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำของไทยในปัจจุบันและมั่นใจในจุดแข็งของ TCAP ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคารธนชาตที่จะเข้ามาร่วมผนึกกำลัง เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทำให้ธนาคารมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น
Mr. Mark Newman Managing Director, ING Challengers and Growth Markets, Asia กล่าวว่า จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการลงทุนใน TMB ประกอบกับการพัฒนาทางด้านดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในธุรกิจธนาคาร และอื่น ๆ อีกมากมายทำให้ ING ตัดสินใจลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 12,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการรวมกิจการของทั้งสองธนาคารในครั้งนี้ ทั้ง ING และ TCAP ต่างพัฒนาความเชื่อมั่นที่มีต่อกันจากกระบวนการรวมกิจการนี้ จนนำไปสู่การตั้งเป้าหมายร่วมกันที่จะทำให้ธนาคารใหม่เติบโตอย่างมั่นคง และเป็นผู้นำทางด้านดิจิทัลประกอบกับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกระทรวงการคลัง การรวมกิจการของทั้งสองธนาคารในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้อย่างแน่นอน