นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบัญชีและงบประมาณ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) เปิดเผยว่า แนวโน้มของยอดขายในช่วงครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจะสูงกว่าครึ่งปีแรกที่เติบโต 5% ซึ่งโดยปกติครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่ยอดขายจะเติบโตขึ้นมากกว่าครึ่งปีแรก และในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะทำกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งในช่วงไตรมาส 3/62 จะมีการจัดกิจกรรม Rainy sale ที่เข้ามากระตุ้นยอดขายในช่วงฤดูฝนที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่น
ขณะที่ในช่วงไตรมาส 4/62 คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะเป็นช่วงปลายปีซึ่งมีการจับจ่ายใช้สอยกันมาก พร้อมกับบริษัทยังมีการจัดงาน HomePro Expo ในช่วงเดือนพ.ย. 62 อย่างไรก็ตามบริษัทคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนทำให้การจับจ่ายใช้สอยกลับมาดีขึ้น จากปัจจุบันที่บริษัทยังมีความกังวลในเรื่องการชะลอตัวของการจับจ่ายใช้สอย หลังจากกำลังซื้อและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งมีผลกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีแนวโน้มปรับตัวลดลง แต่บริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้ยังเติบโตได้ตามเป้า 5-7% มาที่ 6 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนการเปิดสาขาใหม่ 4 สาขา ได้แก่ โฮมโปร จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งจะเปิดให้บริการในช่วงเดือนส.ค.นี้ ร้าน โฮมโปร เอส ขนาด 1,000-2,000 ตารางเมตร ภายในโครงการสามย่านมิตรทาวน์ ซึ่งจะเปิดให้บริการในเดือนก.ย.นี้ และเมกาโฮม 2 สาขาในต่างจังหวัด โดยใช้งบลงทุนรวมราว 4 พันล้านบาท ซึ่งการขยายสาขาในปีนี้บริษัทได้ชะลอการขยายสาขาโฮมโปร เอส ออกไปบางสาขา เนื่องจากเจ้าของพื้นที่ยังไม่สามารถปรับพื้นที่รองรับการทำสาขาของร้านได้ ทำให้เลื่อนการเปิดออกไป
โดยในสิ้นปี 62 บริษัทจะมีสาขารวมทั้งสิ้น 113 สาขา จากปัจจุบันที่มีจำนวน 109 สาขา แบ่งเป็น สาขาภายใต้แบรนด์เมกาโฮม จำนวน 12 สาขา และสาขาภายใต้แบรนด์โฮมโปร จำนวน 97 สาขา สำหรับการขยายสาขาไปยังต่างประเทศนั้น บริษัทยังคงมีการศึกษาขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงเน้นศึกษาในกลุ่มประเทศ CLMV เป็นหลัก
ปัจจุบันบริษัทมีสาขาโฮมโปรในประเทศมาเลเซียแล้วจำนวน 6 สาขา และยังไม่มีแผนขยายสาขาในมาเลเซียเพิ่มขึ้น เพราะหันมาปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของสาขาในมาเลเซียให้ดีขึ้นแทน และปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากสาขาในมาเลเซียน้อยมากไม่ถึง 1% ส่วนสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ยังตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสินค้าเฮ้าส์แบรนด์เป็น 20-25% ในช่วง 3-5 ปีนี้ จากปัจจุบันมีสัดส่วน 18-19% ของสินค้าทั้งหมด เพื่อช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้กับบริษัท