นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวในหัวข้อ "ลงทุนอย่างไรภายใต้สงครามทางการค้าปะทุอีกครั้ง" ว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยลบไปค่อนข้างมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากสงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีน กับ ประเทศสหรัฐ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยในช่วงไตรมาส 2/62 ถือว่าต่ำที่สุดของปีนี้แล้ว เนื่องจากมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ โดยมีเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ 1,700 จุด บนระดับ P/E ที่ 16.45 เท่า โดยมองว่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนต่างชาติที่มีโอกาสไหลเข้าต่อเนื่อง จากที่ก่อนหน้านี้กลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) มีเงินทุนต่างชาติไหลออกไปจำนวนมาก โดยเฉพาะในประเทศไทยแม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะมีเงินทุนไหลเข้ามาแต่ยังถือว่าไม่มากนัก และการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมจะถูกเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. นี้ จะทำให้มีผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลดลง และผลักดันให้ย้ายเงินลงทุนมายังตลาดทุนทดแทนด้วย
แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามปัจจัยทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ เริ่มด้วยสงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศจีน และประเทศสหรัฐ ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ เปิดเผยว่าสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีอีก 10% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย. ซึ่งในส่วนนี้ทำให้จีนถูกเก็บภาษีทั้งหมด
"ผลของสงครามทางการค้ามองว่ารับรู้ไปมากแล้วสำหรับตลาดหุ้นในหลาย ๆ ประเทศ โดยตลาดหุ้นไทยเองจะเห็นว่ามีผลครั้งแรกอาจจะเห็นการลดลงถึง 12% แต่ครั้งต่อ ๆ มาตลาดเริ่มเข้าใจหรืออาจจะใช้คำว่าชินก็ได้ ในครั้งนี้เองก็มองว่าได้รับรู้ไปค่อนข้างมากแล้ว"นายเทิดศักดิ์ กล่าว
สำหรับปัจจัยในประเทศ เห็นว่ายังคงต้องติดตามถึงเสถียรภาพของการเมือง และการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจว่าจะออกมาในรูปแบบใด โดยเฉพาะในเรื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณที่ปัจจุบันยังไม่ออกมา
"ด้วยจำนวนเสี่ยงที่ปริ่มมาก ๆ และเสียงบางเสียงขาดหายไป และตอนนี้เองการเบิกจ่ายงบประมาณยังไม่ออกมา เราจึงต้องติดตามถึงเสถียรภาพของรัฐบาลในชุดปัจจุบันว่าจะเป็นอย่างไร การใช้นโยบายต่าง ๆ จะออกมาได้มากน้อยเพียงใด แต่หากทุก ๆอย่างออกมาได้ด้วยดีก็เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยด้วย"นายเทิดศักดิ์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนปัจจุบัน แนะนำให้ลงทุนสะสมหุ้นที่มีปันผลสูง และได้รับประโยชน์จากสงครามทางการค้า เป็นหลัก รวมไปถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)