นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลัง 62 ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากยังมีลูกค้าที่รอเซ็นสัญญาเช่าคลังสินค้าจำนวนมาก คาดว่าทั้งปีจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ 250,000 ตารางเมตร รับอานิสงส์การเติบโตของธุรกิจ E-Commerce กอปรเป็นช่วงไฮซีซั่นธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งพื้นที่นิคมฯ ของ WHA Group ทั้งหมดอยู่ในเขตส่งเสริมโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และได้รับผลดีจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อของสหรัฐอเมริกา และจีน
สำหรับความชัดเจนด้านการลงทุนในเวียดนามของ WHA Group นั้น บริษัทได้ขยายการลงทุนด้านสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น โดย WHA Group ได้เข้าร่วมลงทุนในสัดส่วน 34% ของหุ้นทั้งหมดของ บริษัท Duong River Surface Waterplant JSC (SDWTP) ดำเนินธุรกิจผลิต และจำหน่ายน้ำประปาในเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 54,750,000 ลูกบาศเมตรต่อปี และอยู่ระหว่างการก่อสร้างเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 109,500,000 ลูกบาศเมตรต่อปี มีกำหนดการแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 62 รวมถึงบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาการร่วมมือทางธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมร่วมกับพันธมิตรในประเทศเวียดนามด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ธุรกิจบริการด้านพลังงาน บริษัทมีการพัฒนาการให้บริการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงโครงการ Solar Rooftop ที่ปัจจุบันบริษัทได้มีการเซ็นสัญญาดำเนินการแล้ว 14.50 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับเป้าการให้บริการเพิ่มขึ้นในอนาคต
บริษัทเตรียมแผนการขายทรัพย์สินให้กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์ WHART) มูลค่า 4,880 ล้านบาท และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (กองทรัสต์ HREIT) มูลค่าประมาณ 1,400 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายและสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/62 และไตรมาส 1/63 ตามลำดับ
นางสาวจรีพร กล่าวว่า ส่วนผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/62 บริษัทมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า 3,074 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% และมีกำไรสุทธิ 1,052 ล้านบาท เติบโตกว่า 247% ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการโอนที่ดินได้ประมาณ 600 ไร่ ตามการขายที่ดินที่เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา อันเป็นผลจจากการได้รับอานิสงค์จากสงครามการค้าโลก ที่มีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนมายังไทย อีกทั้งการสนับสนุนของภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนโครงการ EEC ผลักดันต่อภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งบริษัทมีรายได้ในธุรกิจสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายและให้บริการน้ำตามความต้องการใช้น้ำของโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นไปตามจำนวนโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ทยอยการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ที่เพิ่มขึ้น บริษัทมีการเปิด COD ของโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติมคือ โรงไฟฟ้า กัลฟ์ เอ็นแอลแอล 2 เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา และโครงการเก็คโค่-วัน กลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติหลังจากที่ปิดปรับปรุงไป 39 วันในไตรมาส 1/62 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรก มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า 6,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% และมีกำไรสุทธิ 1,459 ล้านบาท เติบโตกว่า 35%