BANPU ลบ 4.65% หลังกำไร Q2/62 ต่ำกว่าคาด เหตุธุรกิจถ่านหินชะลอ-ขาดทุน FX , โรงไฟฟ้า SLG เล็งเลื่อน COD ไป H2/63

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 13, 2019 11:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

หุ้น BANPU ราคาไหลลง 4.65% มาอยู่ที่ 12.30 บาท ลดลง 0.60 บาท มูลค่าซื้อขาย 297.14 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.48 น. โดยเปิดตลาดที่ 12.70 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 12.70 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 12.30 บาท

บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ถือ"หุ้น บมจ.บ้านปู (BANPU) ประเมินมูลค่าเหมาะสมเท่ากับ 15 บาท ในระยะยาวเชื่อว่าราคาถ่านหินจะสามารถกลับไปยืนที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากภาวะตลาดที่ค่อนข้างสมดุล แต่ระยะสั้นยังขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่ โดยโรงไฟฟ้าถ่านหิน SLG คาดว่าจะเลื่อน COD จากต้นปี 63 ไปเป็นครึ่งหลังปี 63

BANPU รายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 2/62 มีกำไรสุทธิ 86 ล้านบาท ลดลง -91%QoQ และ -98%YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาด โดยหากตัดกำไรจากตราสารอนุพันธ์ 483 ล้านบาท และผลขาดทุนขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 1,289 ล้านบาท กำไรปกติจะอยู่ที่ 892 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +752%QoQ แต่เป็นผลจากภาษีจ่ายที่ลดลงจากการรับรู้ Deferred tax asset

ในแง่ของการดำเนินงาน 1) ธุรกิจถ่านหินชะลอตัวลง แม้ปริมาณขายถ่านหินรวมอยู่ที่ 9.3 ล้านตัน +18%QoQ แบ่งเป็นปริมาณขายจากเหมือง ITM อินโดนีเซีย 6.5 ล้านตัน +11%QoQ และเหมือง CEY ออสเตรเลีย 2.8 ล้านตัน +40%QoQ เป็นไปตามปัจจัยฤดูกาลที่ฝนตกน้อยเอื้ออำนวยต่อการผลิต และจำนวนสัปดาห์ที่ใช้เคลื่อนย้าย Longwall ลดลง อย่างไรก็ตามราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของ ITM -8%QoQ อยู่ที่ 67 เหรียญสหรัฐ/ตัน หลังผ่านช่วงฤดูหนาว ขณะที่ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของ CEY ทรงตัวที่ 99 เหรียญออสเตรเลียด/ตัน ด้านต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ITM ลดลง -2%QoQ อยู่ที่ 47 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากการปรับ Stripping Ratio ลง ส่วน CEY ลดลง -4%QoQ อยู่ที่ 89 เหรียญสหรัฐ/ตัน รวมแล้วทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงอยู่ที่ 23% จาก 27% ในไตรมาส 1/62 ขณะที่ธุรกิจถ่านหินในประเทศจีนส่งผ่านส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น +25%QoQ เนื่องจากราคาขายในประเทศจีนที่ยังอยู่สูง

2) ธุรกิจ Shale gas ผลการดำเนินงานอ่อนตัวลง เนื่องจากราคาก๊าซในตลาดสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงอยู่ที่ 32% จาก 51% ในไตรมาส 1/62 3) ธุรกิจโรงไฟฟ้าในประเทศจีนมีผลการดำเนินงานแย่ลง รายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำลดลงตามฤดูกาล ขณะที่ต้นทุนถ่านหินลดลงน้อยกว่า อัตรากำไรขั้นต้นจึงลดลงอยู่ที่ 17% จาก 24% ในไตรมาส 1/62 อย่างไรก็ตามส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า BLCP และโรงไฟฟ้า Hongsa เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง รวมแล้วกำไรสุทธิครึ่งปีแรก จึงเท่ากับ 1,002 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน -63%YoY

สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง คาดกำไรสุทธิฟื้นตัวจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง ทั้งนี้เชื่อว่าค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าได้อีกไม่มาก หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงจากราคาถ่านหิน NEX ที่ตกต่ำ ในไตรมาส 3/62 ปรับตัวลดลงต่ออีก 10%QTD อยู่ที่ 72 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากความต้องการใช้ลดลงตามฤดูกาล แต่คาดว่ารับการชดเชยจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นทั้งเหมือง ITM และ CEY โดยบริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายถ่านหินรวมในปี 62 ไว้ที่ 47.3 ล้านตัน ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้าคาดอ่อนลงจากทั้งในประเทศจีนและไทย เนื่องจากผ่านช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงในฤดูร้อน โดยคาดหวังต่อการฟื้นตัวของราคาถ่านหินอีกครั้งในช่วงท้ายปีที่โรงไฟฟ้าจะมีการเร่งสต๊อกถ่านหินก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว

อย่างไรก็ตามเพื่อสะท้อนผลงานครึ่งปีแรก ที่ต่ำกว่าคาดมาก คิดเป็นเพียง 14% ของประมาณการทั้งปี ประกอบกับแนวโน้มราคาถ่านหินในตลาดที่มีทิศทางชะลอตัว จึงปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 62-63 ลงจากเดิม -59%/-27% อยู่ที่ 3,004 ล้านบาท และ 6,026 ล้านบาท ตามลำดับ ภายใต้สมมติฐานราคาถ่านหิน NEX ปี 62-63 ที่ 82-80 เหรียญสหรัฐ/ตัน (จาก 89-85 เหรียญสหรัฐ/ตัน) ประเมิน Downside ราคาถ่านหินไม่มาก จากต้นทุนของเหมืองถ่านหินในออสเตรเลียอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่คาดอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากปีก่อนเหลือราว 25-27%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ