นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซาบีน่า (SABINA) เปิดเผยว่า รายได้รวมที่เติบโตขึ้นกว่า 11.4% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ สูงกว่าที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10% มาจากการเปิดตัวชุดชั้นในคอลเลคชั่น "ซีมเลส ฟิต" ในไตรมาสแรกที่มีแรงส่งต่อเนื่องมาถึงไตรมาสที่ 2
นอกจากนี้ ซาบีน่ายังจัดรายการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ โดยเฉพาะการรุกตลาดช่องทางออนไลน์ ทำให้ในช่วง 6 เดือนแรก ยอดขายในช่องทางนี้เติบโตขึ้น 47.5% ขณะที่ยอดขายผ่านช่องทางรีเทล ผ่านเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าและซาบีน่า ช็อป เติบโตขึ้น 8.4% การส่งออกแบรนด์ซาบีน่าในกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มขึ้น 25.6% และการรับผลิตหรือ OEM ลดลง 1.7%
สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 (เม.ย.-มิ.ย.) บริษัทมีรายได้รวม 868.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวม 785.5 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 104.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.61% จากปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 96.5 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ บริษัทได้ตั้งค่าใช้จ่ายพิเศษผลประโยชน์พนักงานตามกฎหมายแรงงาน จำนวน 14 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากหักค่าใช้จ่ายพิเศษดังกล่าวออกไป บริษัทฯ จะมีกำไรปกติจากการดำเนินงานเท่ากับ 118.8 ล้านบาท ถือว่าเป็นตัวเลขกำไรที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
นอกจากการเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่และการทำตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งเป็นการบริหารด้านรายได้แล้ว ซาบีน่ายังให้ความสำคัญกับการบริหารค่าใช้จ่าย เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 38.7% ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 54% ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซาบีน่ายังได้รับปัจจัยสนับสนุนด้านต้นทุนจากการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้สินค้าที่ส่งคำสั่งให้กับโรงงานในจีนผลิตมีต้นทุนลดลง โดยสัดส่วนการจ้างผลิต (Sourcing) สำหรับครึ่งปีแรกอยู่ที่ 35% มีอัตรากำไรขั้นต้น 57%
"การส่งสินค้าให้กับโรงงานในจีนผลิตในช่วงไตรมาสที่ 2 จะแตกต่างจากไตรมาสแรกที่เราเน้นสินค้าสำหรับตลาดบนที่มีราคาสูง ขณะที่ไตรมาสที่ 2 เราเน้นส่งคำสั่งผลิตไปที่สินค้าราคาทั่วไปที่วางขายในห้างค้าปลีก ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้นและทำให้เรามียอดขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องการวางกลยุทธ์ผลิตและขายให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลา
ส่วนช่วงที่เหลืออยู่ของปี แม้จะมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว ท่ามกลางดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่บริษัทฯ จับตามองและต้องประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และยังมีความหวังว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่อาจจะช่วยให้เศรษฐกิจในครึ่งหลังของปีกลับมาคึกคักเพิ่มขึ้น"นายบุญชัย กล่าว