นายคาลิด มอยนูดดิน ฮาชิม กรรมการผู้จัดการ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) กล่าวว่า บริษัทคาดค่าระวางเรือในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะปรับตัวดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ 9,113 เหรียญสหรัฐต่อลำต่อวัน หลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจการขนส่งสินค้าแห้งเทกอง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีค่าระวางเรือที่สูงกว่าอุตสาหกรรมด้วยกลยุทธ์ที่บริษัทสามารถให้บริการการขนส่งที่ถูกต้องในพื้นที่การให้บริการ
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาความต้องการการใช้เรือกลุ่มเรือขนาดเคปไซส์ (Capesize) เริ่มฟื้นตัว จากที่ความต้องการได้ฟื้นตัวกลับมา เนื่องจากภาวะภัยแล้งในประเทศออสเตรเลียทำให้ต้องมีการนำเข้าข้าวสาลีแทนการส่งออก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชียซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวสาลีรายใหญ่จากออสเตรเลียต้องนำเข้าข้าวสาลีจากประเทศอื่นที่ไกลออกไป เช่น ยูเครน รัสเซีย ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งในแง่ตันไมล์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ประกอบกับที่ผ่านมาผู้ประกอบการหลายรายได้ลดปริมาณจำนวนเรือลง และลดความเร็วในการแล่นเรือ ส่งผลให้ความต้องการเรือขนาดอื่น ๆ มีการฟื้นตัวขึ้นมา โดยในปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนการเพิ่มกองเรือ และไม่มีแผนการลดขนาดกองเรือ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกองเรืออยู่ทั้งหมด 33 ลำ
ส่วนสงครามการค้าระหว่างประเทศจีนและสหรัฐ มองว่ายังคงเป็นผลกระทบต่อ Sentiment ด้านลบ เพราะทำให้ผู้ประกอบการต่างๆ ชะลอการลงทุน และอาจจะกระทบต่อการปรับขึ้นค่าระวางเรือ ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ไม่แน่นอนต่อการเจรจาการค้าที่จะออกมาจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ
"ที่ผ่านมาเราสามารถวางแผนกองเรือได้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่การให้บริการ และการบริหารจัดการด้านอื่น ๆ ส่งผลให้เรามีค่าระวางเรือที่ดีกว่าอุตสาหกรรม โดยเรามองทิศทางค่าระวางเรือในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกตามช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมเรือเทกอง ซึ่งความเสี่ยงที่ต้องติดตามเป็นหลักเลยคือ ทรัมป์"นายคาลิด กล่าว