ดัชนีหุ้นไทยเปิดภาคเช้าร่วงกว่า 14 จุด ก่อนไหลลงไปเป็น 20 จุด หลุดระดับ 1,600 จุด ซึ่งการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวในแดนลบ หลังจากดัชนีดาวโจนส์ร่วงหนักกว่า 800 จุดเมื่อคืน สาเหตุหลักจากภาวะ inverted yield curve อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่สูงกว่าพันธบัตรระยะยาว ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย กดดันให้มีแรงขายนำออกมาในหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มหลักทั้งพลังงาน แบงก์ และสื่อสาร ถ่วงบรรยากาศการลงทุน
เมื่อเวลา 9.58 น. ดัชนี SET เปิดตลาดที่ 1,605.00 จุด ลดลง 14.45 จุด (-0.89%)
เมื่อเวลา 10.11 น. ดัชนี SET อยู่ที่ 1,598.98 จุด ลดลง 20.47 จุด (-1.26%)
นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอิงทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐตอบรับปัจจัยลบจากภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น อายุ 2 ปี อยู่สูงกว่าพันธบัตรระยะยาว อายุ 10 ปี ซึ่งทางสถิติบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มเผชิญภาวะถดถอย ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจของจีนและเยอรมนีออกมาในทิศทางที่อ่อนแอ กดดันให้ตลาดยุโรปปิดเมื่อคืนนี้ลดลง 1-2% และตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ก็ปรับลดลงในเกณฑ์เดียวกัน มีเพียงตลาดหุ้นฮ่องกงที่ปรับตัวขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดอาจมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ทำให้นักลงทุนขายล็อกกำไร ขณะที่บ้านเรายังมีประเด็นที่กลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ปรับลดดอกเบี้ยกดดันให้เกิดแรงขายหุ้นในกลุ่มแบงก์ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานยังถูกกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงด้วย ซึ่งแรงขายของทั้งสองกลุ่มมีผลต่อดัชนีค่อนข้างมาก
พร้อมให้แนวรับ 1,584 และแนวต้านที่ 1,620 จุด