นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการเงินและบริหาร บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) เปิดเผยว่า บริษัทยอมรับว่ารายได้ในปีนี้อาจจะทำได้เพียงใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 21,803.54 ล้านบาท จากเดิมที่เคยคาดว่าจะเติบโต 5% โดยเป็นผลมาจากรายได้ธุรกิจโรงแรมชะลอตัวตามปริมาณนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวลดลง โดยคาดว่ารายได้เฉลี่ย/ห้อง(RevPar) ปีนี้จะลดลงราว 4-5% จากปีก่อนที่ 3,786 บาท/ห้อง เนื่องจากการลดลงของอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเป็นสำคัญ และ ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกก็อ่อนตัวกว่าที่คาดไว้
รวมไปถึงการปิดปรับปรุงโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บีช รีสอร์ท สมุย ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.62 ซึ่งคาดว่าจะกลับมาเปิดให้บริการได้ภายใน 15 เดือนหลังจากนั้น และโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ จะปิดปรับปรุงภายในเดือนนี้เช่นเดียวกัน โดยจะปิดทีละชั้น ซึ่งคาดจะกลับมาเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 3/63
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าผลประกอบการในงวดครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะไตรมาส 4 ที่จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว และยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและด้านการท่องเที่ยวของภาครัฐที่เข้ามาช่วยหนุนด้วย ขณะที่บริษัทได้มีการปรับแผนไปเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้น เชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวดีขึ้น
นอกจากนั้น บริษัทยังคงเป้าหมายผลักดันรายได้ของธุรกิจอาหารในปีนี้ให้เติบโต 5-7% จากปีก่อนเติบโต 9.3% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดสาขาใหม่ โดย 6 เดือนที่ผ่านมาเปิดสาขาไปแล้ว 99 สาขา โดยแผนงานทั้งปีนี้จะเปิดสาขาเพิ่มขึ้น 12-13% จากปีก่อนที่มี 956 สาขา โดยเชื่อว่าธุรกิจอาหารจะเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนรายได้ของบริษัทในปีนี้ โดยเฉพาะบริการจัดส่งอาหาร (Delivery) ซึ่งมีการเติบโตที่สูงภายหลังร่วมมือกับ Grab
ส่วนแผนการลงทุนในช่วง 3 ปี (62-64) นั้น ในปีนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 6,351 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในธุรกิจโรงแรม 4,851 ล้านบาท และธุรกิจอาหาร 1,500 ล้านบาท , ปี 63 ที่ 10,876 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนโรงแรม 9,776 ล้านบาท และ อาหาร 1,100 บาท และ ปี 64 ที่ 9,961 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนโรงแรม 8,961 ล้านบาท และ อาหาร 1,000 ล้านบาท
สำหรับเงินลงทุนทั้งหมดจะมาจากการกู้สถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ ซึ่งวงเงินลงทุนดังกล่าวรวมการเข้าซื้อกิจการ (M&A)ด้วย โดยมีทั้งธุรกิจอาหารและโรงแรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เน้นธุรกิจที่มีกำไรและสามารถรับรู้ได้ทันที โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือ 2,400 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 0.5 เท่า
นายรณชิต กล่าวต่อว่า บริษัทเตรียมจะออกหุ้นกู้วงเงินราว 800 ล้านบาทในปี 63 โดยจะนำมาไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดในเดือน มี.ค. และ มิ.ย.63