นายทศพร จิตตวีระ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟลอยด์ (FLOYD) เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในงวดไตรมาส 2/62 (1 เม.ย.-30 มิ.ย.62) บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 128.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.42 ล้านบาท หรือ 52.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ 83.88 ล้านบาท โดยรายได้จากการให้บริการของบริษัทมาจากการรับรู้รายได้งานอาคารสูง และงานแนวราบ ซึ่งเป็นงานห้างสรรพสินค้า และงานปรับปรุง งานเพิ่มอื่น ๆ ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถทยอยรับรู้รายได้จากการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 15.53 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 10.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.90 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 46.10%
"ผลงานที่ออกมาถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ถึงแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกชะลอตัว อย่างไรก็ตามบริษัทมุ่งเน้นการควบคุมต้นทุนบริการและค่าใช้จ่ายในการบริหารอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริษัทฯ คงมีกำไรจากการดำเนินงาน และพร้อมขยายการเติบโต ลุยรับงานเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง รับภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศฟื้นตัวขึ้น"นายทศพร กล่าว
นายทศพร กล่าวถึง แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตกว่าช่วงครึ่งปีแรก หลังรัฐบาลแถลงนโยบายและคาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านการคมนาคม จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ภาคเอกชนได้รับความเชื่อมั่น ทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อ FLOYD ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาติดตั้งงานวางระบบครบวงจรที่ได้รับการยอมรับทั้งในเรื่องคุณภาพงานและการบริการที่รวดเร็วด้วยทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจ
ส่วนแผนการเข้าประมูลงานใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ บริษัทยังคงเน้นการรักษากลุ่มลูกค้าเก่าควบคู่กับการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ด้วยมาตรฐานการให้บริการงานที่มีคุณภาพตามหลักวิศวกรรม และราคาที่เหมาะสม โดยปัจจุบันงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 180.54 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้
พร้อมทั้งเจาะตลาดใหม่ในกลุ่มธุรกิจ Data Center ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และโครงการผลักดันอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงของภาครัฐบาลที่ทำให้ธุรกิจกลุ่มนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด FLOYD จึงเห็นโอกาสในการใช้ความเชี่ยวชาญในการรับเหมางานติดตั้งงานระบบเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า นอกจากนั้นบริษัทยังคงมีแผนเดินหน้าเปิดตลาดในกลุ่มอื่นๆ อาทิ โรงพยาบาล โรงงาน เป็นต้น รวมถึงพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ เพื่อพร้อมรับการเติบโตในอนาคต