นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) กล่าวว่า บริษัทฯ คาดผลประกอบการในไตรมาส 2 งวดปี 62/63 (เดือนก.ค.-ก.ย.62) จะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1 งวดปี 62/63 (เดือนเม.ย.-มิ.ย.62) ที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 2,672 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 215 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจฉนวนกันความร้อนและเย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex, ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeorklas ซึ่งได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังได้รับผลดีจากต้นทุนราคาวัตถุดิบหรือเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวลดลงราว 10-20% ส่งผลดีต่อการแข่งขัน และการบริหารต้นทุนวัตถุดิบดีขึ้น โดยบริษัทฯ คาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะอยู่ที่ 28-30% จากไตรมาสแรกอยู่ที่ 28.30%
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ปี 62/63 (เม.ย.62-มี.ค.63) จะเติบโตประมาณ 10% จากทุกธุรกิจเติบโตดี แม้ในไตรมาสแรกจะมีรายได้เติบโตเพียง 1.9% โดยธุรกิจฉนวนกันความร้อนและเย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex คาดจะเดินเครื่องผลิตของโรงงานใหม่ กำลังการผลิตราว 5,000 ตัน/ปี ได้ในช่วงปลายปีนี้ หรือเดือนก.ย.-ต.ค.62 ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิตได้ถึง 10% และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ 50% รวมถึงยังช่วยเพิ่มโอกาสการขยายตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่มากขึ้นในสหรัฐฯ
ส่วนธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeorklas มองว่าตลาดรถกระบะ SUV ยังมีการเติบโตอยู่ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป และอังกฤษ ส่วนประเทศออสเตรเลีย ก็ยังคงเติบโต แม้เศรษฐกิจจะอยู่ในช่วงชะลอตัว ส่งผลทำให้คู่แข่งบางรายลดลง จึงเป็นผลดีต่อบริษัทฯ
ขณะเดียวกันก็จะมุ่งเน้นการลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตทดแทน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ในทวีปแอฟริกา ซึ่งผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ของโลกหลายรายเข้าไปตั้งฐานการผลิตในประเทศแอฟริกาใต้ เนื่องจากสามารถขยายธุรกิจไปยังทวีปแอฟริกา และเป็นประตูสู่ทวีปยุโรป จากการสนับสนุนของรัฐบาลแอฟริกาใต้ โดย Aeroklas ได้ลงทุนในกิจการร่วมค้า Aeroklas Duys (Pty) Ltd. ประเทศแอฟริกาใต้ ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภท อุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ให้กับลูกค้า OEM และลูกค้ารายย่อยทั่วไปในประเทศแอฟริกาใต้
ด้านประเทศจีน มองว่าจะได้รับผลบวกจากการสนับสนุนให้ใช้รถกระบะในประเทศดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานอยู่ในประเทศจีน และยังมีการส่งออกไปจีนคิดเป็น 5% ของการส่งออกโดยรวม รวมถึงประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะเวียดนามก็ยังมีการเติบโต
ขณะที่โรงงานใหม่ของ Aeorklas ก็คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตได้ประมาณปลายปี 62 และคาดว่าจะสามารถบันทึกเป็นรายได้เข้ามาในไตรมาส 4 งวดปี 62/63 (ม.ค.-มี.ค.63) อย่างไรก็ตามภายหลังเดินเครื่องกำลังการผลิตของโรงงานใหม่ 100% คาดว่า Aeorklas จะมีรายได้อยู่ที่ 400-500 ล้านบาท และ Aeroflex จะมีรายได้อยู่ที่ 800-1,000 ล้านบาท โดยคาดจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 75% ภายใน 3 ปี
นายเฉลียว กล่าวว่า สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 งวดปี 62/63 (เดือนต.ค.-ธ.ค.62) และไตรมาส 4 งวดปี 62/63 (เดือนม.ค.-มี.ค.63) จะเป็นช่วงของไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งจะมีการใช้กำลังการผลิตมากขึ้น โดยบริษัทฯ ก็มีการบริหารจัดการกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้จะทำการตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ และ CLM อย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการสินค้ามาตรฐานสูง และกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารและถ้วยน้ำดื่ม
นอกจากนี้ EPP สามารถปรับเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบประเภท Bio plastic ได้ เนื่องจากมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเครื่องจักรการผลิตโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม รวมถึงบริษัทมีแผนที่จะลงทุนขยายไลน์การผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทกระดาษเพื่อสามารถให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร
พร้อมกันนี้บริษัทฯ ได้วางงบลงทุนในช่วง 3 ปี (ปี 62-64) ไว้ที่ 570 ล้านบาท แบ่งเป็น ปี 62/63 ใช้งบลงทุน 300 ล้านบาท, ปี 63/64 ใช้งบลงทุน 220 ล้านบาท และปี 64/65 ใช้งบลงทุน 50 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำไรสะสมกว่า 3,700 ล้านบาท และมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.29 เท่า ซึ่งยังคงเพียงพอต่อการขยายการเติบโตทางธุรกิจ