นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิ และรายได้ปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 5,874 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,045 ล้านบาท เป็นผลจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF) ซึ่งจะทำให้บันทึกกำไรพิเศษเข้ามาในช่วงไตรมาส 3/62 ราวหลายพันล้านบาท รวมถึงจะมีรายได้จากขายสินทรัพย์ฯ ดังกล่าว จำนวน 8,150 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตมาที่ 6,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทยังรับรู้รายได้จากการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มเติมอีก เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามที่มีการ COD ไปเมื่อเดือนมิ.ย.62 กำลังการผลิต 236.72 เมกะวัตต์ (MW) ทำให้กำลังการผลิตปีนี้เติบโตถึง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตามโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ปัจจุบันมีการ COD แล้วจำนวน 769 เมกะวัตต์ และได้นำ 118 เมกะวัตต์ ขายเข้ากองทุนรวมฯ ขณะที่ในประเทศเวียดนาม COD แล้ว จำนวน 236.72 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมีโรงไฟฟ้าขยะในไทยที่ COD แล้ว 9.9 เมกะวัตต์ และเตรียมที่จะ COD โรงไฟฟ้าขยะเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง จำนวน 9.9 เมกะวัตต์
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และกำลังจะพัฒนา รวม 1,000 เมกะวัตต์ โดยเร็ว ๆ นี้ เตรียมที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่ประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 500 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างรอใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะอยู่ในประเทศเวียดนามส่วนหนึ่ง รวมถึงยังมีโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มเติมอีก ในประเทศไทย กำลังการผลิต 58 เมกะวัตต์ รวม 4 โครงการ ขณะเดียวกันบริษัทก็อยู่ระหว่างประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 390 เมกะวัตต์ ในประเทศมาเลเซีย คาดว่าจะรู้ผลได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/62 หรือต้นไตรมาส 4/62
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้ามีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 1,390 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ PPA แล้ว 1 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนามกำลังการผลิต 500 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะก่อสร้างเฟสแรก 100 เมกะวัตต์ และน่าจะแล้วเสร็จภายในปี 63 ขณะเดียวกันเตรียมขอ PPA โรงไฟฟ้าพลังงานลมและโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามอีก 500 เมกะวัตต์
นายจอมทรัพย์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมนำเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมฯ ไปชำระคืนหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน จำนวน 4,200 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยลงปีละ 160-170 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้ในการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิต 500 เมกะวัตต์ ที่ประเทศเวียดนาม โดยส่วนหนึ่งจะมาจากเงินกู้ด้วย พร้อมกันนี้บริษัทเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เพื่อพิจารณาจ่ายเงินปันผลพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯด้วย
หน่วยลงทุน SUPEREIF เข้าซื้อขายในวันแรกวันนี้ โดยราคาเปิดตลาดที่ 11.30 บาท เพิ่มขึ้น 13% จากราคาเสนอขายที่ 10 บาท/หน่วย และราคาปิดพักเที่ยงอยู่ที่ 11.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 15%