นายทักษะ บุษยโภคะ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป (MODERN) กล่าวว่า บริษัทคาดว่ายอดขายในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่มียอดขาย 1,370.66 ล้านบาท จากการทยอยส่งมอบงานส่วนใหญ่ในไตรมาส 3/62 และไตรมาส 4/62 โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ราว 2,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 60-70% ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นในทิศทางเดียวกับยอดขายที่เติบโต จากไตรมาส 2/62 อยู่ในระดับ 31.6%
บริษัทยังเชื่อว่าผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในไตรมาส 3/62 หลังจากไตรมาส 2/62 บริษัทและบริษัทย่อย มีผลขาดทุนสุทธิ 19.3 ล้านบาท และครึ่งปีแรกมีผลขาดทุนสุทธิ 3.48 ล้านบาท เนื่องมาจากการตั้งค่าใช้จ่ายสำรองผลประโยชน์พนักงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ จึงทำให้เกิดผลขาดทุนทางบัญชี แต่ในไตรมาส 3 นี้จะไม่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับลดเป้ารายได้ปีนี้เหลือเติบโตกว่าปีก่อนเล็กน้อย โดยในปีก่อนมีรายได้ 3,389.97 ล้านบาท จากเดิมที่คาดเติบโต 15% เนื่องจากมองภาพรวมตลาดเฟอร์นิเจอร์ในปีนี้ยังมีการแข่งขันสูง เนื่องจากมีผู้ประกอบการจากต่างประเทศหลายรายเข้ามาแข่งขันในไทยมากขึ้น เนื่องจากไม่มีกำแพงภาษี
แต่การเติบโตหลัก ๆ ยังคงมาจากกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ราว 70% โดยคาดเฟอร์นิเจอร์สำนักงานจะเติบโตได้ 10-15% จากการออกสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น อย่าง ดิจิไทซ์ ล็อกเกอร์ หรือตู้เก็บของอัจฉริยะ ที่ใช้ passcode หรือ ID ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายบริษัทเริ่มนำไปใช้บ้างแล้ว ส่วนเฟอร์นิเจอร์บ้านปีนี้มองว่าน่าจะยังทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ขณะที่ธุรกิจตกแต่งภายในปีนี้ก็จะเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนในบริษัทต่างๆ ก็ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ โดยคิดเป็น 30% ของกำไรทั้งหมด ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างมองหากิจการที่จะเข้าไปร่วมลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเฟอร์นิเจอร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ ซึ่งบริษัทมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการลงทุนดังกล่าว ปัจจุบันมีกระแสเงินสดอยู่ที่ 233 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจเฮลท์แคร์ที่ดำเนินการภายใต้บริษัท โมเดร์นฟอร์ม เฮลท์แอนด์แคร์ จำกัด (MHC) ที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 95% ปัจจุบันได้มีการลงทุนในโรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรา จ.อุบลราชธานี ในสัดส่วน 40% คิดเป็นเงินลงทุน 150 ล้านบาท ได้มีการเปิดให้บริการไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา คาดว่าในปีแรกของการดำเนินงานจะยังมีผลขาดทุนอยู่ และตั้งเป้าจะถึงจุดคุ้มทุนได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยเชื่อว่าธุรกิจเฮลแคร์จะมีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในอนาคต
สำหรับแผนการนำ MHC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นั้น ขณะนี้บริษัทได้เลื่อนแผนไปเป็นปี 63 จากเดิมที่คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนฯ ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากภาวะตลาดยังไม่เอื้อ และผลประกอบการยังไม่เป็นไปตามคาดการณ์ โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน