บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ที่ระดับ "A" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทที่ระดับ "BBB+" โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง "Stable" หรือ "คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่เข้มแข็งของบริษัทจากการมีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่งและทำเลที่ตั้งของธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่ครอบคลุม ในขณะที่การรวมกิจการกับ NH Hotel Group SA (NHH) จะช่วยเสริมฐานะทางธุรกิจของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อีกทั้งยังจะส่งเสริมโอกาสการเติบโตในระยะยาวให้แก่บริษัทอีกด้วย
นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทที่สูงขึ้นตามภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากจากการซื้อกิจการของ NHH ซึ่งทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างรอบคอบและมีความคล่องตัวทางการเงินมากเพียงพอเพื่อรองรับกับสภาพความผันผวนของธุรกิจโรงแรม และเพื่อรักษาคุณภาพเครดิตของบริษัทเอาไว้
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง
บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการมีธุรกิจที่หลากหลายทั้งธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจจัดจำหน่าย และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-use) การผสมผสานกันของธุรกิจร้านอาหารที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอกับธุรกิจที่มีกำไรสูงแต่มีความผันผวนสูงอย่างเช่นธุรกิจโรงแรมและ Mixed-use ช่วยทำให้ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทมีความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ สถานะทางการตลาดที่มั่นคงและการกระจายตัวของทั้งแบรนด์ และทำเลที่ตั้งจะช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในประเทศหรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง และยังช่วยรักษาระดับการเติบโตด้านรายได้ให้แก่บริษัทอีกด้วย
การซื้อกิจการของ NHH ช่วยส่งเสริมฐานะทางธุรกิจของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น บริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ใหญ่ติดอันดับหนึ่งใน 20 ของผู้ประกอบการระดับโลก โดยบริษัทมีโรงแรมภายใต้การดำเนินงานจำนวน 523 แห่งด้วยจำนวนห้องพักรวม 76,466 ห้องซึ่งเปิดให้บริการอยู่ใน 54 ประเทศทั่วโลก ณ เดือนกรกฎาคม 2562
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการซื้อกิจการของ NHH จะช่วยเพิ่มโอกาสระยะยาวให้แก่การเติบโตของบริษัท ธุรกิจโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทรวมถึงอำนาจในการต่อรองกับคู่ค้า เช่น กลุ่มบริษัทท่องเที่ยว หรือคู่ค้ามีมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังจะได้รับประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมายทั้งในด้านประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น โปรแกรมสะสมคะแนนของลูกค้าที่ใช้ร่วมกันได้ ช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีฐานลูกค้ากว้างขวางขึ้น และการใช้ประโยชน์จากแบรนด์โรงแรมต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้นของธุรกิจโรงแรม สถานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับความผันผวนและความอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงภายนอกของธุรกิจโรงแรมมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ธุรกิจโรงแรมของบริษัทก็มีการกระจายตัวของทำเลที่ตั้ง ซึ่งจะช่วยลดทอนผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าวได้บางส่วน
ผลประกอบการธุรกิจโรงแรมได้รับการสนับสนุนจาก NHH
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ NHH จะช่วยสนับสนุนธุรกิจโรงแรมและผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่า NHH จะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งของการเดินทางและการท่องเที่ยวในทวีปยุโรป ในขณะที่ธุรกิจโรงแรมของบริษัทในบางประเทศต้องเผชิญกับปัจจัยที่ไม่พึงประสงค์ อาทิ เงินบาทที่แข็งค่าจนทำให้ประเทศไทยลดความดึงดูดนักท่องเที่ยวลงไปเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงในประเทศออสเตรเลียที่เป็นปัจจัยกดดันต่อราคาค่าห้องพักและกำไร
ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2,700-2,900 บาทต่อห้องต่อคืนในปี 2562 เมื่อเทียบกับอัตรา 3,117 บาทต่อห้องต่อคืนในปี 2561 ทั้งนี้ สาเหตุหลักเกิดจากการรวมธุรกิจโรงแรมกับ NHH ซึ่งมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยที่ต่ำกว่า หลังจากนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่า รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของบริษัทจะเติบโตในอัตรา 1%-5% ในช่วงระหว่างปี 2563-2564 ในขณะที่รายได้จากธุรกิจโรงแรมแบบ Management Letting Rights (MLRs) ในประเทศออสเตรเลียจะยังคงได้รับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมซึ่งรวมธุรกิจ MLRs และธุรกิจรับบริหารโรงแรมอยู่ที่ 9.6-11.0 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือภาวะความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและการเงินของโลกรวมทั้งภาวะการเมืองระหว่างประเทศที่จะส่งผลให้ความต้องการเดินทางทั้งเพื่อเป้าหมายทางธุรกิจและท่องเที่ยวเกิดการชะลอตัวลง
ธุรกิจร้านอาหารยังคงเผชิญกับความท้าทาย
หลังจากการนำผลประกอบการทางการเงินและผลการดำเนินงานของ NHH เข้ามารวมกับของบริษัทแล้ว ธุรกิจร้านอาหารจะมีสัดส่วนยอดขายและกำไรที่ลดลงมาอยู่ที่ 15%-20% ของยอดขายทั้งหมดและกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าธุรกิจร้านอาหารจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อภาพรวมธุรกิจของบริษัทเนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานที่มีความผันผวนน้อยกว่าธุรกิจโรงแรมและสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าธุรกิจร้านอาหารของบริษัทจะยังคงมีแรงกดดันจากภาวะชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศ ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรง และผลกระทบจากสังคมที่พัฒนาสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งมีการใช้แอพพลิเคชั่นให้บริการส่งอาหารในตลาดหลัก ๆ ที่บริษัทดำเนินธุรกิจ ได้แก่ ประเทศไทย ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่ายอดขายจากร้านเดิม (Same-Store-Sales) ของบริษัทจะยังคงติดลบในปี 2562-2563 ก่อนที่จะเติบโตในระดับ 1%-3% ในปี 2564 โดยรายได้จากธุรกิจร้านอาหารจะเติบโตประมาณ 1%-3% อยู่ที่ระดับ 2.2-2.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 ซึ่งมาจากการขยายสาขาเป็นหลัก
สถานะทางการเงินปรับตัวดีขึ้น
การซื้อกิจการของ NHH ส่งผลทำให้ขอบเขตการดำเนินงานและรายได้ของบริษัทมีขนาดที่ใหญ่ยิ่งขึ้น ในช่วงปี 2562-2564 สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ 1.29-1.40 แสนล้านบาทต่อปี บริษัทจะมี (EBITDA) ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 3.6-3.8 หมื่นล้านบาทต่อปี และจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 2.2-2.4 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงดังกล่าวโดยมาจากธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก ในขณะที่ธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าจะเติบโตเล็กน้อยจากภาวะการบริโภคที่ยังคงอ่อนตัว นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่ประมาณ 1.1-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564
ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นมากจากการซื้อกิจการของ NHH หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยตามที่รายงานสุทธิจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดของบริษัทอยู่ที่ 1.12 แสนล้านบาทในปี 2562 เทียบกับ 4.3 หมื่นล้านบาทในปี 2560 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 2.21 แสนล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2562 เทียบกับ 5.5 หมื่นล้านบาทในปี 2560 ทั้งนี้ หนี้สินทางการเงินมีการปรับปรุงด้วยภาระค้ำประกัน รวมทั้งภาระผูกพันที่มีกับบริษัทที่เกี่ยวข้องในสัญญาเช่าดำเนินงาน และหนี้สินอันเกิดจากตราสารหนี้ที่มีลักษณะคล้ายทุน (Perpetual Securities) ตามเกณฑ์การพิจารณาของทริสเรทติ้ง ซึ่งพิจารณาให้ 50% ของเงินต้นคงค้างของหุ้นกู้ประเภทด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาทเป็นทุน 50% และอีก 50% เป็นหนี้สินทางการเงิน ขณะที่ทริสเรทติ้งถือว่าหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิและมีประกันลักษณะคล้ายทุนจำนวน 300 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นหนี้สินทางการเงินทั้งจำนวน
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากการมีขนาดธุรกิจและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ใหญ่ขึ้นมาก สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้ทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 5.5-6.5 เท่าในปี 2562-2563 และจะลดลงต่ำกว่า 5.5 เท่าในปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนของเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ระดับ 9%-12% ในปี 2562-2564 ซึ่งทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าบริษัทมีการดำเนินการตามแผนการลดภาระหนี้ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนคุณภาพเครดิตของบริษัท
สภาพคล่องเพียงพอ
ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า บริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอโดยพิจารณาจากแหล่งเงินทุนและความต้องการใช้เงิน โดยแหล่งสภาพคล่องของบริษัทจะประกอบไปด้วยเงินทุนจากการดำเนินงานอย่างน้อยจำนวน 2.2 หมื่นล้านบาท รวมถึงเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในมือ จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท และวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 6.39 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2562 ในขณะที่บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่จะครบกำหนดชำระรวมประมาณ 2.8 ล้านบาทและมีแผนการลงทุนประมาณ 1.3-1.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงเงินปันผลรวมประมาณ 2.0-2.5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถเสริมสภาพคล่องผ่านการหมุนเวียนสินทรัพย์ได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 บริษัทได้ทำรายการขายโรงแรม 3 แห่งของ Tivoli ในประเทศโปรตุเกสออกไปและเช่ากลับมาดำเนินงาน โดยมีราคาขายอยู่ที่ 1.09 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทจะนำเงินบางส่วนที่ได้ไปใช้ในการลดภาระหนี้ด้วย
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของจะอยู่ที่ระดับ 2,700-2,900 บาทต่อห้องต่อคืนในปี 2562 หลังจากนั้นจะเติบโตในอัตรา 1%-5% ในช่วงปี 2563-2564
รายได้จากธุรกิจโรงแรมที่รวม MLRs และธุรกิจรับบริหารโรงแรมจะอยู่ที่ 9.6-11.0 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564
รายได้จากธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจจัดจำหน่ายจะเติบโตประมาณ 1%-3% ต่อปีในช่วงปี 2562-2564
อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับ 27%-29% ในช่วงปี 2562-2564
ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1.1-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการมีธุรกิจที่หลากหลายทั้งประเภทและทำเลที่ตั้ง โดยทริสเรทติ้งคาดหมายว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการรวมธุรกิจกับ NHH และจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะยังคงทำการลดหนี้ต่อไปเพื่อให้มีความคล่องตัวทางการเงินมากพอที่จะรองรับความผันผวนในธุรกิจโรงแรมได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทมีค่อนข้างจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากสถานะทางการเงินของบริษัทในปัจจุบัน การเพิ่มอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทสามารถดำรงอัตราส่วนหนี้ทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วให้ต่ำกว่าระดับ 4.5 เท่าและอัตราส่วนของเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ในระดับสูงกว่า 10% ได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การลดอันดับเครดิตนั้นอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงจากที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ หรือบริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่โดยการก่อหนี้