นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ และในปีหน้าว่า บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 9,200 ล้านบาท โดยเน้นน้ำหนักไปที่โครงการผลิตแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนเฟสแรก ขนาดกำลังการผลิต 1 GWh ด้วยงบประมาณการลงทุน 5,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการลงทุนสร้างโรงผลิตกรีนดีเซล และพีซีเอ็มที่เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มขั้นสูงและเป็นลิขสิทธิ์ของกลุ่มบริษัทเอง สำหรับทำตลาดส่งออกและทดแทนการนำเข้า
"เราต่อยอดธุรกิจใหม่โดยใช้แบตเตอรี่เป็นพื้นฐาน ซึ่งเราถือเป็นเจ้าแรกของประเทศไทย ที่เข้ามารุกธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าและเรือไฟฟ้า ที่ออกแบบและผลิตโดยคนไทย ใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่ของกลุ่ม EA ร่วมกับชิ้นส่วนอื่นๆ ที่เป็นของไทยทั้งหม...มั่นใจว่าหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้จะเป็น New S-curve ของเราที่จะช่วยผลักดันรายได้ และกำไรของบริษัทฯ ในปี 2563 นิวไฮต่อเนื่อง" นายอมร กล่าว
สำหรับความคืบหน้าในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของคนไทย 100% ภายใต้ยี่ห้อ MINE Mobility นั้น อยู่ระหว่างสร้างโรงงานประกอบ นำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรการผลิต และจัดเตรียมชิ้นส่วนต่างๆ ไว้ โดยตามแผน บริษัทฯ จะทยอยส่งมอบรถยนต์ให้กับลูกค้าที่มียอดจองเข้ามาแล้วกว่า 4,500 คัน ได้ในต้นปี 2563
ขณะที่เรือไฟฟ้านั้น บริษัทฯได้จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ "บริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต จำกัด" (E Smart Transport Co., Ltd.) เพื่อดำเนินธุรกิจ เรือโดยสารและเรือท่องเที่ยว เพื่อเตรียมการจะเปิดให้บริการรับส่งผู้โดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาจากท่าน้ำนนทบุรี ไปยังท่าน้ำวัดราชสิงขร ระยะทางรวม 20 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นการเดินทางที่ใช้เวลาไม่ถึง 40 นาที อยู่ระหว่างการผลิตเรือนำร่อง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคมนี้และเตรียมเปิดทดลองใช้ในปลายปีอย่างแน่นอน ส่วนที่เหลือจะทะยอยผลิตเพื่อนำมาให้บริการตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า ด้วยงบประมาณรวม 1 พันล้านบาท
นายอมร กล่าวถึงผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/62 ที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,442 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม 3,640 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เป็นไปตามที่บริษัทได้คาดไว้ ทั้งนี้ เป็นผลสำเร็จจากการผลิตไฟฟ้าของโครงการหนุมาน โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่แล้วเสร็จและจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ครบทั้ง 260 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมา จน ณ ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมรวมทั้งสิ้น 664 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ ในเดือนก.ค. และ ส.ค. ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ 2 ครั้ง รวม 5 ชุด เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกัน มูลค่ารวมทั้งสิ้น 7 พันล้านบาท เพื่อนำไปใช้ชำระค่าใช้จ่ายลงทุนของโครงการหนุมาน ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยได้เป็นจำนวนมาก หลังจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เพิ่มเครดิตองค์กรเป็น "A" จาก "A-"
ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทฯ สะท้อนถึงผลประกอบการที่มั่นคงแน่นอนจากโรงไฟฟ้าต่างๆ ที่แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ สร้างกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความเสี่ยงที่ต่ำ และมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดของบริษัทเดินเครื่องเต็มกำลังแล้ว
นางออมสิน ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร EA คาดว่า ผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก จากการรับรู้รายได้การจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมเข้ามาครบ 664 เมกะวัตต์ ตามเป้าหมาย ขณะที่ก็มองว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของโรงไฟฟ้าพลังงานลม เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนและมีพายุเข้ามาค่อนข้างมาก ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อกำลังการผลิตไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มขึ้น ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ น่าจะปรับตัวลดลง เนื่องจากเป็นช่วงของโลว์ซีซั่น
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนออกหุ้นกู้มูลค่า 3,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี ดอกเบี้ยราว 3% ซึ่งจะขายให้กับธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) เพื่อใช้คืนหนี้เงินกู้เดิม ที่ปัจจุบันมีอยู่ 8,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะส่งผลต่อต้นทุนดอกเบี้ยของบริษัทฯ ลดลงราว 1% คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในเดือนต.ค.นี้
สำหรับงบงบลงทุนปี 62-63 ที่ 9,200 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการผลิตแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนเฟสแรก ขนาดกำลังการผลิต 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง วางงบลงทุนที่ 5,000 ล้านบาท ,ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ประมาณ 200 ล้านบาท, ธุรกิจเรือโดยสารไฟฟ้าประมาณ 1,000 ล้านบาท, ธุรกิจ EV Charging ประมาณ 500 ล้านบาท, ธุรกิจไบโอดีเซล 1,000 ล้านบาท และอื่นๆอีก 1,500 ล้านบาท
"บริษัทฯ ยังคงเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หรือมาที่ 15,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 12,656.30 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 6,904.24 ล้านบาท จากรับรู้รายได้ COD เข้ามาครบ 664 เมกะวัตต์ ตามเป้าหมาย และยังคงเป้ารายได้ปี 63 จะเติบโตแตะ 20,000 ล้านบาท จากทุกธุรกิจที่จะรับรู้รายได้เข้ามา"