นายอังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โรงพยาบาลลาดพร้าว (LPH) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลงานในครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล จากที่จะมีผู้เข้าใช้บริการในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น และการเปิดศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ให้บริการครบ 5 ศูนย์ฯแล้ว ส่งผลให้รายได้จากการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าเงินสด ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Excellent Center) คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของรายได้จะสูงถึง 24%
"ปีนี้คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 25-30% โดยในส่วนรายได้ประกันสังคมไม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกันตนเต็มจำนวนตามโควตาที่ได้รับแล้ว ส่วนรายได้ผู้ป่วยทั่วไปจะเพิ่มขึ้นกว่า 30% มาจากศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ที่มีการขยายพื้นที่ให้บริการ 5 ศูนย์ฯ พื้นที่ใช้งบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท รวมทั้งเพิ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและเครื่องมือที่ทันสมัย ในปีนี้จะเริ่มขยายพื้นที่เพื่อรองรับผู้ป่วยต่างประเทศ โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยต่างประเทศที่ทำงานในประเทศ (Expat) คาดว่าจะมีรายได้ 5-10 ล้านบาท ผู้ป่วย CLMV 20-25 ล้านบาท และผู้ป่วยชาวอาหรับ 60-80 ล้านบาท รวมในส่วนผู้ป่วยต่างประเทศ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทในปีนี้"นายอังกูร กล่าว
นายอังกูร กล่าวว่า สัดส่วนรายได้ปีนี้ยังคงเดิม แบ่งเป็น ผู้ป่วยประเภทเงินสด 60% และรายได้จากผู้ป่วยประกันสังคม 40% เนื่องจากขณะนี้โควตาเต็มแล้วอยู่ที่ 1.61 แสนราย ซึ่งปีนี้จำนวนโควตาผู้ป่วยประกันสังคมจะไม่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังรอความชัดเจนในเรื่องของนโยบายประกันสังคมสำหรับการเหมาจ่ายรายหัว แต่คาดว่าจะยังไม่เห็นความชัดเจนในปีนี้
ขณะที่การลงทุนในโรงพยาบาลลาดพร้าว ลำลูกกา นั้นอาจจะมีความล่าช้าไปบ้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้บริษัทวางแผนจะสร้างการลงทุนในโรงพยาบาลลาดพร้าว ลำลูกกา จะรับแต่ลูกค้าเงินสด แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับแบบ เพื่อให้สามารถรองรับลูกค้าประกันสังคมได้ โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 63 และแล้วเสร็จภายในปี 65
ส่วนการเข้าลงทุนโรงพยาบาลเอกชน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2 แห่ง แบ่งเป็น โรงพยาบาลดำเนินการเกี่ยวกับตรวจสุขภาพพนักงานโรงงาน คือ โรงพยาบาล เอเชีย ซึ่งบริษัทถือหุ้น 50% และอีกหนึ่งแห่งคือโรงพยาบาลเอเชีย อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 100 เตียง ทั้งนี้ สัดส่วนการถือหุ้นอยู่ระหว่างเจรจาจากเดิมที่จะถือหุ้นราว 30% จะเพิ่มการถือหุ้นเป็น 50% ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดจะเปิดให้บริการช่วงต้นปี 64 โดยเจ้าของโครงการมีแผนที่จะนำโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หลังจากดำเนินการผ่านไปแล้ว 3 ปี โดยคาดว่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่มีผลกำไรตั้งแต่เปิดดำเนินการปีแรก