นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อิชิตันกรุ๊ป (ICHI) เปิดเผยถึง ภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 62 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หลังปรับโครงสร้างธุรกิจชัดเจน และมุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นรายกลุ่มโดยเฉพาะ ทั้งในตลาดชาพรีเมียม ตลาดวัยรุ่น หรือการทำแคมเปญเจาะกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยในตลาดค้าปลีกแบบดั้งเดิม ซึ่งได้รับการตอบรับและกำไรดี เป็นการสร้างฐานผลประกอบการที่มั่นคงในระยะยาว
พร้อมทั้ง ชูจุดเด่นที่โรงงานอิชิตัน กรีน แฟคทอรี่ มีประสิทธิภาพการผลิตเครื่องดื่มแทบทุกชนิด ด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย 7 สายการผลิตแบบขวดมีกำลังการผลิตสูงสุด 1,500 ล้านขวด/ปี สร้างโอกาสขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตอบรับเทรนด์เครื่องดื่มในอนาคต อีกทั้งยังสามารถขยายตลาดการรับจ้างผลิต (OEM) เพิ่มเติม เนื่องจากเป็นธุรกิจความเสี่ยงน้อย สนับสนุนกำไรให้แข็งแกร่ง
"ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ยอดขายและกำไรเติบโตขึ้น จากการปรับโครงสร้างการบริหารภายใน และปรับกลยุทธ์การตลาด ไม่มุ่งเน้นการอัดโปรโมชั่น แต่เป็นการโฟกัสสินค้าในแต่ละแบรนด์ให้ชัดเจน โดยตัด SKU และขนาดบรรจุในบางรายการที่ไม่คุ้มในการผลิตออกจากตลาด เนื่องจากเครื่องจักรเราเป็นแบบ High Speed ยิ่งผลิตมาก ยิ่งได้กำไร พร้อมรับโอกาสใหม่ๆ ขยายไปยังตลาดรับจ้างผลิต (OEM) และตลาดส่งออก สนับสนุนความสามารถในการทำกำไร"นายตัน กล่าว
ทั้งนี้ ICHI มั่นใจว่าเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบโต 12% จากปีก่อนที่มีรายได้ 5,216.2 ล้านบาท และกำไรอยู่ที่ 43.84 ล้านบาท ซึ่งมองว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 2/62 มีกำไรสุทธิ 136.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 550% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุน30.4 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการขายอยู่ที่ 1,645.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,333 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,940 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท มีรายได้จากการขาย 2,964.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2,654.5 ล้านบาท
ด้านบริษัทย่อย อิชิตัน อินโดนีเซีย รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนน้อยลง จาก 55 ล้านบาทในไตรมาส 1/62 เหลือเพียงขาดทุน 4.8 ล้านบาทในไตรมาส 2/62 เนื่องจากผลิตภัณฑ์ Thai Milk Tea ที่นำไปบุกตลาดในช่วงที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับในตลาดอินโดนีเซีย
ขณะที่ภาพรวมของตลาดชาพร้อมดื่มในประเทศไทยครึ่งปีแรกมีมูลค่า 6,439 ล้านบาท และเติบโตขึ้น 5.5% ในแง่ยอดขาย ในขณะที่ตลาดชาพรีเมียมมีการเติบโตถึง 33.4% ซึ่งเป็นการเติบโตอัตราสูงที่สุดในตลาดชาพร้อมดื่ม โดยปัจจุบันชาชิซึโอกะก้าวขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในตลาดชาพร้อมดื่มพรีเมียม พร้อมดันกลยุทธ์ใหม่เพื่อเดินหน้าครองความเป็นผู้นำ ด้วยการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้เข้าถึงกลุ่ม Premium Mass มากขึ้น จากเดิมที่เน้นสื่อสารไปที่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรักสุขภาพ และตลาดพรีเมียมเท่านั้น