นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) กล่าวว่า ในปีนี้จะเปิดศูนย์บริการธุรกิจต่างประเทศรวม 3 แห่ง ในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมหรือบริเวณที่มีปริมาณธุรกิจด้านนำเข้าและส่งออกเป็นหลัก รวมถึงปรับปรุงระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศให้ทันสมัยเพื่อความสะดวกรวดเร็วและเข้าถึงลูกค้าทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
ทั้งนี้ SCIB มีแผนจะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยตั้งเป้าเปิดศูนย์บริการธุรกิจต่างประเทศเพิ่มอีก 9 แห่งภายใน 3 ปี (2551-2553)
และในวันนี้ SCIB ได้ลงนามในความร่วมมือภายใต้บริการประกันการส่งออกกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่ง
ประเทศไทย (EXIM BANK) หรือ ธสน. โดย 2 ธนาคารจะร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ส่งออกไทยให้ขยายธุรกิจถึงแม้จะมีปัจจัยเสี่ยงจาก
เศรษฐกิจ โดย EXIM BANK ให้บริการประกันการส่งออกแก่ลูกค้าของธนาคารนครหลวงไทย เพื่อให้ลูกค้ามีความมั่นใจ พร้อมเสนอเงื่อนไขชำระเงินให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
"การร่วมมือของ 2 ธนาคารจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าของธนาคารและกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจส่งออก ขณะเดียวกันธนาคารนครหลวงไทยสามารถพิจารณาอนุมัติวงเงินได้รวดเร็วขึ้น เนื่องจากธนาคารสามารถหักมูลค่าของหลักประกันออกจากราคาตามบัญชีลูกหนี้ก่อนการกันเงินสำรองได้ 75% ของหนังสือรับประกันตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด" นายชัยวัฒน์ ระบุ
นายชัยวัฒน์ กล่าว่า ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัว 18% จาก 2,300 ล้านบาทในปี 50 โดยจะมาจากรายได้ค่าธรรมเนียม การค้าระหว่างประเทศหรือเทรดไฟแนนซ์, แบงค์แอสชัวรันส์ และ บริการหลักทรัพย์
สำหรับในส่วน เทรดไฟแนนซ์ ธนาคารจะมุ่งเน้นมากขึ้นโดยปีนี้ตั้งเป้าสินเชื่อจากเทรดไฟแนนซ์จะเพิ่มขึ้นประมาณ 30% หรือ 3.5 หมื่นล้านบาท จากยอด 3.5 หมื่นล้านบาทในปีก่อน
"ปีนี้เราตั้งเป้าเทรดไฟแนนซ์จะโตอย่างน้อย 30% ถือเป็นการโตแบบ organic growth ส่วนหนึ่งจะมาจากการเปิดศูนย์บริการธุรกิจต่างประเทศปีนี้มีแผนเปิด 3 แห่งในเขตพื้นที่นิคมฯ โดยจะเปิดที่แรกที่ศรีราชาในเดือนเม.ย. เพื่อเป็นศูนย์ธุรกิภูมิภาคในอีสเทิร์นซีบอร์ด และภายใน 3 ปีจะเปิดให้ได้ประมาณ 9 แห่ง การเปิดศูนย์บริการจะช่วยต่อยอดสินเชื่อเทรดไฟแนนซ์และปีนี้จะมีการลงทุนงานด้านไอทีด้วย และปีนี้เราอาจไม่ได้โตอย่างก้าวกระโด แต่เราเตรียมตัวโตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปีหน้าจะเป็นปีที่เราพร้อมจะโตเรื่องเทรดไฟแนนซ์อย่างเต็มตัว" นายชัยวัฒน์ กล่าว
สำหรับกระแสข่าวเรื่องของพันธมิตรธนาคารนั้น นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้ถือเป็นช่วงของการปรับตัว โครงสร้างการทำงาน และยกระดับความรู้ความสามารถของพนักงานในองค์กร เพื่อสร้างธนาคารให้แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันสภาพคล่องและเงินกองทุนของธนาคารก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร Tier 1 ยังสูง ขณะที่ Tier 2 ยังไม่ได้ใช้
ในปีนี้ ธนาคารจะมุ่งเน้นเรื่องการบริหารจัดการ NPL และการขยายสินเชื่อ SME และ รายย่อยเพิ่มขึ้น ตลอดจนการปรับโครงสร้างเงินฝาก ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของธนาคารในขณะนี้
"ตอนนี้เรากำลังเตรียมในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของธนาคาร ส่วนพันธมิตรไม่ได้มีการคุยลงไปใน detail แต่ถามว่าหากเราอยากหาพันธมิตรเราก็ต้องต้องการพันธมิตรที่เป็น Strategic Partner สำหรับเรื่องที่ปรึกษาทางการเงิน ก่อนหน้านี้ตั้งเป้าว่าจะได้ FA เดือนม.ค. แต่ตอนนี้ชะลอออกไป ตอนนี้เรายังไม่ได้เลือก เพราะเรามั่นใจว่าตอนนี้แบงก์กำลังมาถูกทางแล้ว ผลประกอบการเริ่มดีขึ้น แต่ก่อนหน้านี้ที่เรามองได้ม.ค. เพราะเราต้องการคนมาช่วยในการปรับตัว แต่ตอนนี้ปรับตัวได้เองและได้ดี เพระฉะนั้นเราไม่รีบ" นายชัยวัฒน์ กล่าว
ส่วนเรื่องพันธมิตรจะจบได้ภายในปีนี้หรือไม่ นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า เรื่องอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากสามาถรทำอะไรให้แล้วเสร็จเร็วได้ก็เป็นเรื่องดี
--อินโฟเควสท์ โดย อภิญญา วุฒิเมธากุล/รัชดา/เสาวลักษณ์ โทร.0-2253-5050 ต่อ 353 อีเมล์: saowalak@infoquest.co.th--