บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ที่ระดับ "A" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัทในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทและหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ของบริษัทที่ระดับ "BBB+" ด้วย โดยหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอยู่ 2 ระดับ เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีลักษณะการด้อยสิทธิและผู้ออกตราสารสามารถเลื่อนการชำระดอกเบี้ยพร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายของหุ้นกู้ได้
ทริสเรทติ้งกำหนดให้หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น มีระดับความเป็นทุนระดับปานกลาง (Intermediate Equity Content) ตามลักษณะของหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าว ซึ่งรวมถึงความด้อยสิทธิ ความสามารถในการเลื่อนชำระดอกเบี้ยตามดุลยพินิจของบริษัท การห้ามไถ่ถอนหุ้นกู้ในช่วง 5 ปีแรก และมีอายุตราสารที่ยาวนาน ดังนั้น ในการคำนวณอัตราส่วนทางการเงินของบริษัท ทริสเรทติ้งพิจารณา 50% ของเงินต้นคงค้างของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนเป็นทุน และอีก 50% เป็นเงินกู้และระดับความเป็นทุนของตราสารหนี้จะถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับความเป็นทุนน้อย (0%, Minimal Equity Content) ในวันครบกำหนด 5 ปีนับจากวันออกหุ้นกู้ เนื่องจากอายุคงเหลือจริง (Remaining Effective Maturity) ณ วันดังกล่าวน้อยกว่า 20 ปี ทั้งนี้ ตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของทริสเรทติ้งนั้นอายุคงเหลือจริงของตราสารจะลดลงเมื่อมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเท่ากับหรือมากกว่า 100 Basis Points (bps) ซึ่งในกรณีของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทนั้น กรณีดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อหุ้นกู้ครบกำหนด 25 ปีนับจากวันที่ออกหุ้นกู้
นอกเหนือจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนดสิทธิฯ ของหุ้นกู้ เช่น การเปลี่ยนแปลงในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล การเปลี่ยนแปลงในหลักการทางบัญชี หรือการเปลี่ยนแปลงในหลักเกณฑ์การพิจารณาของสถาบันจัดอันดับเครดิตในเรื่องของความเป็นทุนของหุ้นกู้แล้ว บริษัทมีความประสงค์ (แต่ไม่ถูกผูกพันให้ต้องดำเนินการ) ที่จะชำระคืนเงินต้นของหุ้นกู้ที่ไถ่ถอนหรือซื้อคืนด้วยตราสารทุนที่เท่าเทียมกันหรือดีกว่า ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งอาจจะลดระดับความเป็นทุนของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่จะออกใหม่และที่คงค้างสู่ระดับความเป็นทุนน้อยจากระดับความเป็นทุนปานกลางหากทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติให้แตกต่างจากข้อผูกพันเรื่องการออกหลักทรัพย์เพื่อทดแทนหุ้นกู้ในข้อกำหนดสิทธิฯ ดังกล่าว
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจการตลาดน้ำมัน ตลอดจนความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน และการกระจายความหลากหลายของธุรกิจไปสู่พลังงานสะอาด อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากแผนการลงทุนของบริษัทเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันและการขยายสู่ธุรกิจใหม่ ๆ
สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 บริษัทมีผลการดำเนินงานน้อยกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการ เนื่องจากการลดลงของค่าการกลั่นเป็นหลัก โดยค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทลดลงเหลือ 4.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าที่เราประมาณการไว้ที่ 6.5-7.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทริสเรทติ้งมองว่าการลดลงของค่าการกลั่นนี้เป็นไปทั้งอุตสาหกรรมซึ่งสะท้อนถึงวัฏจักรของธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ค่าการกลั่นในระดับต่ำนี้อาจจะต่อเนื่องไปถึงปีหน้า อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเห็นการปรับตัวที่ดีขึ้นของค่าการกลั่นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 ทั้งนี้ ค่าการกลั่นของบริษัทอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจาก International Maritime Organization (IMO) เริ่มบังคับใช้กฎระเบียบให้ใช้น้ำมันเตาที่มีซัลเฟอร์ต่ำสำหรับการเดินเรือ นอกจากนี้ เราคาดว่าค่าการกลั่นของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อบริษัทเสร็จสิ้นการปรับปรุงประสิทธิภาพและการขยายกำลังการผลิต (Debottleneck) โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทในปี 2563
บริษัทถือหุ้น 46.62% ใน OKEA AS (OKEA) ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อรวม OKEA เข้ามาในงบการเงินของบริษัท อย่างไรก็ตาม ในประมาณของทริสเรทติ้งครั้งก่อนหน้านั้น เราคาดว่าบริษัทจะรวมผลการดำเนินงานของ OKEA AS (OKEA) ในงบการเงินของบริษัทในช่วงปลายปี 2561 แต่ผลการดำเนินงานของ OKEA ในปัจจุบันยังไม่ได้รวมเข้ามาในงบการเงินของบริษัท ทริสเรทติ้งจึงปรับประมาณการสำหรับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเหลือประมาณ 9 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2563 บนสมมติฐานของค่าการกลั่นในระดับปัจจุบัน ในขณะเดียวกันการประมาณการหนี้สินของบริษัทก็ลดลงประมาณ 10 พันล้านบาท ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนยังคงคาดว่าจะอยู่ในช่วง 50%-55% ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการก่อนหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจการตลาดของบริษัทเอาไว้ได้ ในขณะที่การลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจะสร้างรายได้ที่ต่อเนื่องให้แก่บริษัทและจะช่วยลดความผันผวนของธุรกิจกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาดลงได้บางส่วน
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยที่มีผลในเชิงบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท ได้แก่ การที่บริษัทสามารถเพิ่มกระแสเงินสดได้อย่างมากและสม่ำเสมอจากการกระจายธุรกิจโดยที่ไม่ส่งผลกระทบทำให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ปัจจัยที่มีผลในเชิงลบต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นจากการที่โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากจากการลงทุนขนาดใหญ่โดยการก่อหนี้เป็นหลัก หรือการที่บริษัทประสบผลขาดทุนอย่างมากจากการดำเนินงานหรือจากการลงทุน