นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) เปิดเผยว่า บมจ บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) บริษัทที่ปรึกษาทางด้านวาณิชธนกิจ อสังหาริมทรัพย์ และบริหารจัดการเงินทุน สนใจเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเพซฯ โดยกลุ่ม นายชาญ บูลกุล ประธานกรรมการบริหาร พร้อมกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ของบรุ๊คเคอร์ กรุ๊ปฯ ขอเข้าซื้อหุ้นจากตนเอง จำนวน 950 ล้านหุ้น นับเป็นสัดส่วนไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
โดยเหตุผลที่ BROOK สนใจเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเพซ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าเพซเป็นบริษัทที่ดีมีศักยภาพในการเจริญเติบโตสูง มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และมีความโดดเด่นในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และยังมีแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มที่เป็นที่ชื่นชอบไปทั่วโลกอย่าง ดีน แอนด์ เดลูก้า ที่สามารถทำรายได้ต่อเนื่องเพื่อเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ที่ผ่านมาความไม่แน่นอนของตลาดฟู้ดรีเทล และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะในตลาดอเมริกา ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายทางด้านการเงิน
อย่างไรก็ตาม ทางบรุ๊คเคอร์ กรุ๊ปฯ ซึ่งมีความชำนาญทางด้านการปรับโครงสร้างทางการเงินจะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพ และทำให้เพซฯ สามารถผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้ จึงตัดสินใจเข้าถือหุ้นในครั้งนี้ และในอนาคตทางบรุ๊คเคอร์ กรุ๊ปฯคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเข้าลงทุนกับเพซเพิ่มเติมอีก
นายสรพจน์ กล่าวว่า นอกจากการเข้าถือหุ้นกับทางบริษัทแล้ว เพซฯยังได้แต่งตั้ง บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ปฯ เข้าเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัทฯ โดยภารกิจหลักของ บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ปฯ คือ 1. การจัดหาหุ้นส่วนทางธุรกิจหรือผู้สนใจลงทุนกับเพซฯ 2. ดำเนินการจัดโครงสร้างธุรกิจและโครงสร้างองค์กรเพื่อขยายธุรกิจบริษัท ดีน แอนด์ เดลูก้า เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อให้เป็นธุรกิจที่ยั่งยืนและมีรายได้ที่มั่นคง เตรียมพร้อมสำหรับการเข้าตลาดหุ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท ดีน แอนด์ เดลูก้า เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินการออกหุ้นกู้มีประกันระยะยาว อายุ 2 ปี จำนวนรวม 2 ล้านหน่วย มูลค่าหุ้นกู้รวม 2 พันล้านบาท กำหนดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับร้อยละ 7.5 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน คาดว่าจะเสนอขายในวันที่ 30 กันยายน ถึง 2 ตุลาคม 2562 นี้ โดยได้แต่งตั้งบล.เอเซีย พลัส และบล.เออีซี เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย
สำหรับวัตถุประสงค์ของการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ คือ 1) เพซฯจะนำเงินที่ได้ส่วนหนึ่งไปโอนทรัพย์สินทางปัญญา(Trademark) ในแบรนด์ ดีน แอนด์ เดลูก้า จาก บริษัท ดีน แอนด์ เดลูก้า อิงค์ (DEAN & DELUCA Inc) เพื่อมาเป็นของ ดีน แอนด์ เดลูก้า เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงนำเงินมาใช้ในการลงทุนขยาย ร้านดีน แอนด์ เดลูก้า ในประเทศไทย ที่กำลังเติบโตขึ้นมาก จากการที่ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจในแบรนด์ ซึ่งเห็นได้จากการขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงยอดขายในเอเชียและประเทศไทยที่เติบโตขึ้นอย่างมากเพื่อเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทมั่นใจว่า ดีน แอนด์ เดลูก้า เป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพในการขยายตัวสูง การได้มาซึ่งทรัพย์สินทางปัญญา จาก ดีน แอนด์ เดลูก้า อิงค์ จะทำให้เกิดความคล่องตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น 2) ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และชำระคืนหุ้นกู้เพซก่อนครบกำหนดชำระในต้นปี 2563
ปัจจุบัน ดีน แอนด์ เดลูก้า มีสาขาทั้งหมด 76 สาขาในเอเชีย (ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2562) ประกอบด้วยสาขาในประเทศญี่ปุ่น 49 สาขา, สิงคโปร์ 3 สาขา, ฟิลิปปินส์ 3 สาขา, เกาหลีใต้ 2 สาขา, ฮ่องกง 2 สาขา, คูเวต 2 สาขา, มาเก๊า 1 สาขา, บาร์เรน 1 สาขา, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 สาขา, และสาขาในประเทศไทยทั้งหมด 12 สาขา โดยประกอบไปด้วยสาขาที่เป็นคาเฟ่และร้านอาหาร อาทิ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่, เอ็มควอเทียร์,เดอะคริสตัล รามอินทรา เป็นต้น และบริษัทยังมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 4 สาขาภายในปลายปี 2562 โดยแบ่งเป็น 3 สาขาในกรุงเทพฯ และอีก1สาขาที่ภูเก็ต
โดยล่าสุด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ดีน แอนด์ เดลูก้า ได้เซ็นสัญญากับบริษัท Lagardere Travel Retail ให้เอ็กซ์คลูซีฟแฟรนไชส์เพื่อดำเนินการขยายร้าน ดีน แอนด์ เดลูก้า ในจุด Travel Retail ทั่วโลก เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยเริ่มจาก 2 สาขาแรกที่สนามบินนานาชาติ ฮ่องกง ซึ่งได้เปิดให้บริการเมื่อต้นเดือนกันยายน 2561 และจะทยอยเปิดเพิ่มขึ้นอีกภายในปีนี้
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน เพซฯ มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างรอรับรู้รายได้ทั้งหมด 4 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าแบ็คล็อครวมประมาณ 9 พันล้านบาท และมีอสังหาริมทรัพย์พร้อมขายมูลค่ารวมประมาณ 7 พันล้านบาทได้แก่ 1) เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ในส่วนที่บริษัทฯ ขายไปก่อนหน้านี้ มียอดแบ็คล็อครอโอน 876 ล้านบาท 2) โครงการมหาสมุทร วิลล่า มียอดแบ็คล็อค 354 ล้านบาท และมีวิลล่าพร้อมขายมูลค่าประมาณ 3.39 พันล้านบาท
3) โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่าร้อยละ 90 เป็นยอดแบ็คล็อคคิดเป็นมูลค่า 6.91พันล้านบาท และห้องชุดรอขายมูลค่าประมาณ 1.13 พันล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถโอนเพื่อรับรู้รายได้ภายในปี 2563 และ4) โครงการ วินด์เชลล์ นราธิวาส มียอดขายแล้วกว่าร้อยละ 30 มีแบ็คล็อคมูลค่า 792 ล้านบาท และมีห้องชุดรอขายอีกมูลค่าประมาณ 2.21 พันล้านบาท มีความคืบหน้าก่อสร้างแล้วกว่าร้อยละ 90 และคาดว่าจะสามารถโอนเพื่อรับรู้รายได้ภายในปี 2562