PACE เผยกลุ่มนลท. BROOK สนใจขอซื้อหุ้นในสัดส่วน 10% ,ดัน"ดีน แอนด์ เดลูก้า เอเชีย (ประเทศไทย)" เข้าตลาดหุ้นใน 2 ปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 2, 2019 12:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) เปิดเผยว่า บมจ บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) บริษัทที่ปรึกษาทางด้านวาณิชธนกิจ อสังหาริมทรัพย์ และบริหารจัดการเงินทุน สนใจเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเพซฯ โดยกลุ่ม นายชาญ บูลกุล ประธานกรรมการบริหาร พร้อมกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ของบรุ๊คเคอร์ กรุ๊ปฯ ขอเข้าซื้อหุ้นจากตนเอง จำนวน 950 ล้านหุ้น นับเป็นสัดส่วนไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด

โดยเหตุผลที่ BROOK สนใจเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเพซ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าเพซเป็นบริษัทที่ดีมีศักยภาพในการเจริญเติบโตสูง มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และมีความโดดเด่นในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และยังมีแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มที่เป็นที่ชื่นชอบไปทั่วโลกอย่าง ดีน แอนด์ เดลูก้า ที่สามารถทำรายได้ต่อเนื่องเพื่อเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ที่ผ่านมาความไม่แน่นอนของตลาดฟู้ดรีเทล และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะในตลาดอเมริกา ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายทางด้านการเงิน

อย่างไรก็ตาม ทางบรุ๊คเคอร์ กรุ๊ปฯ ซึ่งมีความชำนาญทางด้านการปรับโครงสร้างทางการเงินจะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพ และทำให้เพซฯ สามารถผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้ จึงตัดสินใจเข้าถือหุ้นในครั้งนี้ และในอนาคตทางบรุ๊คเคอร์ กรุ๊ปฯคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเข้าลงทุนกับเพซเพิ่มเติมอีก

นายสรพจน์ กล่าวว่า นอกจากการเข้าถือหุ้นกับทางบริษัทแล้ว เพซฯยังได้แต่งตั้ง บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ปฯ เข้าเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัทฯ โดยภารกิจหลักของ บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ปฯ คือ 1. การจัดหาหุ้นส่วนทางธุรกิจหรือผู้สนใจลงทุนกับเพซฯ 2. ดำเนินการจัดโครงสร้างธุรกิจและโครงสร้างองค์กรเพื่อขยายธุรกิจบริษัท ดีน แอนด์ เดลูก้า เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อให้เป็นธุรกิจที่ยั่งยืนและมีรายได้ที่มั่นคง เตรียมพร้อมสำหรับการเข้าตลาดหุ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท ดีน แอนด์ เดลูก้า เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินการออกหุ้นกู้มีประกันระยะยาว อายุ 2 ปี จำนวนรวม 2 ล้านหน่วย มูลค่าหุ้นกู้รวม 2 พันล้านบาท กำหนดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับร้อยละ 7.5 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน คาดว่าจะเสนอขายในวันที่ 30 กันยายน ถึง 2 ตุลาคม 2562 นี้ โดยได้แต่งตั้งบล.เอเซีย พลัส และบล.เออีซี เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย

สำหรับวัตถุประสงค์ของการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ คือ 1) เพซฯจะนำเงินที่ได้ส่วนหนึ่งไปโอนทรัพย์สินทางปัญญา(Trademark) ในแบรนด์ ดีน แอนด์ เดลูก้า จาก บริษัท ดีน แอนด์ เดลูก้า อิงค์ (DEAN & DELUCA Inc) เพื่อมาเป็นของ ดีน แอนด์ เดลูก้า เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงนำเงินมาใช้ในการลงทุนขยาย ร้านดีน แอนด์ เดลูก้า ในประเทศไทย ที่กำลังเติบโตขึ้นมาก จากการที่ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจในแบรนด์ ซึ่งเห็นได้จากการขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงยอดขายในเอเชียและประเทศไทยที่เติบโตขึ้นอย่างมากเพื่อเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทมั่นใจว่า ดีน แอนด์ เดลูก้า เป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพในการขยายตัวสูง การได้มาซึ่งทรัพย์สินทางปัญญา จาก ดีน แอนด์ เดลูก้า อิงค์ จะทำให้เกิดความคล่องตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น 2) ใช้ในการดำเนินงานของบริษัท ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และชำระคืนหุ้นกู้เพซก่อนครบกำหนดชำระในต้นปี 2563

ปัจจุบัน ดีน แอนด์ เดลูก้า มีสาขาทั้งหมด 76 สาขาในเอเชีย (ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2562) ประกอบด้วยสาขาในประเทศญี่ปุ่น 49 สาขา, สิงคโปร์ 3 สาขา, ฟิลิปปินส์ 3 สาขา, เกาหลีใต้ 2 สาขา, ฮ่องกง 2 สาขา, คูเวต 2 สาขา, มาเก๊า 1 สาขา, บาร์เรน 1 สาขา, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 สาขา, และสาขาในประเทศไทยทั้งหมด 12 สาขา โดยประกอบไปด้วยสาขาที่เป็นคาเฟ่และร้านอาหาร อาทิ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่, เอ็มควอเทียร์,เดอะคริสตัล รามอินทรา เป็นต้น และบริษัทยังมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 4 สาขาภายในปลายปี 2562 โดยแบ่งเป็น 3 สาขาในกรุงเทพฯ และอีก1สาขาที่ภูเก็ต

โดยล่าสุด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ดีน แอนด์ เดลูก้า ได้เซ็นสัญญากับบริษัท Lagardere Travel Retail ให้เอ็กซ์คลูซีฟแฟรนไชส์เพื่อดำเนินการขยายร้าน ดีน แอนด์ เดลูก้า ในจุด Travel Retail ทั่วโลก เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยเริ่มจาก 2 สาขาแรกที่สนามบินนานาชาติ ฮ่องกง ซึ่งได้เปิดให้บริการเมื่อต้นเดือนกันยายน 2561 และจะทยอยเปิดเพิ่มขึ้นอีกภายในปีนี้

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน เพซฯ มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างรอรับรู้รายได้ทั้งหมด 4 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าแบ็คล็อครวมประมาณ 9 พันล้านบาท และมีอสังหาริมทรัพย์พร้อมขายมูลค่ารวมประมาณ 7 พันล้านบาทได้แก่ 1) เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ในส่วนที่บริษัทฯ ขายไปก่อนหน้านี้ มียอดแบ็คล็อครอโอน 876 ล้านบาท 2) โครงการมหาสมุทร วิลล่า มียอดแบ็คล็อค 354 ล้านบาท และมีวิลล่าพร้อมขายมูลค่าประมาณ 3.39 พันล้านบาท

3) โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่าร้อยละ 90 เป็นยอดแบ็คล็อคคิดเป็นมูลค่า 6.91พันล้านบาท และห้องชุดรอขายมูลค่าประมาณ 1.13 พันล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถโอนเพื่อรับรู้รายได้ภายในปี 2563 และ4) โครงการ วินด์เชลล์ นราธิวาส มียอดขายแล้วกว่าร้อยละ 30 มีแบ็คล็อคมูลค่า 792 ล้านบาท และมีห้องชุดรอขายอีกมูลค่าประมาณ 2.21 พันล้านบาท มีความคืบหน้าก่อสร้างแล้วกว่าร้อยละ 90 และคาดว่าจะสามารถโอนเพื่อรับรู้รายได้ภายในปี 2562


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ