นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล. เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดในสัปดาห์นี้ (2 -6 ก.ย. 62) มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ การเจรจาการค้าของสหรัฐฯกับจีนที่จะเริ่มในสัปดาห์นี้ ซึ่งตลาดมองว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ขยับภาษีสินค้านำเข้าจากจีนส่วนที่เหลือ 3 แสนล้านเหรียญ และจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีเช่นเดียวกัน ส่งผลให้สหรัฐฯ ไม่กล้าที่จะดำเนินการใด ๆ ต่อ และกลับมาเข้าสู่การเจรจากันตามกำหนดเวลาเดิม แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะยกเรื่องสถานการณ์ในฮ่องกงมาต่อรองการค้ากับจีนก็ตาม
ทั้งนี้ การขึ้นภาษีที่มีผลตามกำหนดในวันที่ 1 ก.ย. KTBST มองว่า อีกไม่นานจะเห็นผลกระทบจากสงครามการค้าปรากฎในตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ แต่ตลาดการเงิน-ตลาดทุน ได้มีการปรับตัวรับผลกระทบเหล่านี้แล้ว KTBST เชื่อว่าถ้าประเด็นสงครามการค้า ไม่ได้รุนแรงมากขึ้น ราคาสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) เช่น พันธบัตรรัฐบาลและทองคำอาจชะลอลง แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงอื่น ๆ ที่ยังมีอยู่ เช่น เศรษฐกิจและการเมืองยุโรป ที่ทำให้ภาวะอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลมีความผันผวน รวมถึงสถานการณ์ชุมนุมของฮ่องกงที่ยังดูรุนแรงอยู่
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย แนวโน้มไม่สดใสนักจากกำไรปีนี้ที่จะโตน้อยมาก ทำให้ตลาดพันธบัตรของไทยและหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง (high dividend yield) จะยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนอยู่ต่อไป ส่วนเงินบาทของไทยที่ยังแข็งแกร่งล่าสุดอยู่ที่ 30.6 บาท/ดอลลาร์ ยังถือเป็นปัจจัยบวกของไทย
ด้วยภาพรวมดังกล่าว KTBST คาดว่าดัชนีฯยังมีโอกาสขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,630 จุดได้ จากการเจรจาการค้าของสหรัฐฯกับจีนที่จะเริ่มสัปดาห์นี้ โดยมองเป้าดัชนีสูงสุดที่ระดับ 1,670 จุด แม้ตลาดจะมีระดับ P/E สูง ประมาณ 18.8 เท่า แต่ราคาหุ้นขนาดใหญ่ (ไม่รวมกลุ่มโรงไฟฟ้า) ยังซื้อขายในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เช่น ธนาคาร ปิโตรเคมี ซื้อขายที่ระดับต่ำสุด 5-10 ปี แต่หุ้นกลุ่มที่ KTBST มองว่าราคาลงมามากน่าและสนใจ คือ หุ้น กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว รวมไปถึงหุ้นที่จ่ายปันผลสูงยังคงเน้นลงทุนต่อไป สำหรับหุ้นที่แนะนำในสัปดาห์นี้ คือ PTT, SCB , SCC, SPALI , BDMS , TPIPP ประเมินดัชนีฯสัปดาห์นี้ที่ 1,630-1,670 จุด