"คอปเปอร์ ไวร์ด" คาดเข้าเทรด SET ภายในปีนี้ หลังยื่นไฟลิ่งขาย IPO 160 ล้านหุ้น ระดมทุนขยาย-ปรับปรุงร้านค้าปลีก

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 2, 2019 14:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คอปเปอร์ ไวร์ด (CPW) กลุ่มธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ กล่าวว่า บริษัทคาดจะสามารถนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในปีนี้ หลังจากที่ได้มีการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ของบริษัทฯ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างรอการพิจารณาแบบคำขอจาก ก.ล.ต. โดยมีบล.เคที ซีมิโก้ (KTZ) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปขยายสาขา ขยายการเติบโต เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ที่มีสินค้าครบวงจรใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในประเทศไทย อย่างไรก็ตามบริษัทมีโครงการในอนาคตที่จะขยายสาขาร้านค้าปลีก โดยจะขยายสาขาร้าน .life ในปี 63 ทั้งหมด 6 สาขา ในประเทศไทย มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 5-10 ล้านบาท/สาขา และปรับปรุงสาขาร้านค้าในปัจจุบัน 5 สาขา ให้มีความทันสมัยและมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงใช้คืนหนี้ที่ปัจจุบันมีอยู่ 520 ล้านบาท

ณ วันที่ 31 ธ.ค.61 บริษัทมีร้านค้าและศูนย์บริการภายใต้การบริหารจัดการ 39 สาขา ได้แก่ ร้าน .life 20 สาขา ร้าน Apple Brand Shop ได้แก่ ร้าน iStudio by copperwired และร้าน Ai_ รวม 14 สาขา และศูนย์บริการซ่อมบำรุงผลิตภัณฑ์ Apple ในชื่อ iServe 5 ศูนย์ นอกจากนี้ ยังมีช่องทาง E-Commerce ผ่านเว็ปไซต์ของบริษัทเอง คือ www.dotlife.store และ www.istudio.store

"เรามองว่าดิจิทัลเทรนด์ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง และเราคิดว่าเป็นเวลาที่ดีในการนำพาบริษัท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะชะลอ ซึ่งเราก็มีความพร้อมอย่างมาก"นายปรเมศร์ กล่าว

สำหรับผลประกอบการในปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับในอดีต ที่มีการเติบโตเฉลี่ย 10-15% โดยมีช่วงฤดูกาลขายที่ดีที่สุดในไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ของทุกปี โดยผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 59–61 มีรายได้รวมจำนวน 2,549.94 ล้านบาท 2,789.05 ล้านบาท 3,227.62 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโต ในปี 60 และปี 61 อยู่ที่ 9.38% และ 15.72% ตามลำดับ โดยมีรายได้หลักจากช่องทางค้าปลีกหน้าร้านและบริการ มีการเติบโตของกลุ่มสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์อย่างโดดเด่น

ขณะที่กำไรสุทธิในงวดปี 59–61 อยู่ที่ 15.99 ล้านบาท 63.35 ล้านบาท และ 82.42 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโต ในปี 60 และปี 61 อยู่ที่ 296.19% และ 30.10% ตามลำดับ ขณะที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 0.63% , 2.27% และ 2.55% ตามลำดับ มีสาเหตุหลักมาจากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของการขายกลุ่มสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ และการขยายธุรกิจค้าส่งของบริษัทย่อยซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง

ด้านนายวิรัช มรกตกาล รองกรรมการผู้จัดการ สายวาณิชธนกิจ บล.เคที ซีมิโก้ และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด ได้ยื่นขออนุญาตเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 26.67% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เพื่อเข้าจดทะเบียนใน SET เงินที่ได้จากการระดมทุน นำไปใช้ลงทุน และ/หรือ ขยายธุรกิจร้านค้าปลีก และปรับปรุงสาขาร้านค้าปลีก ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและใช้สำหรับการดำเนินการทั่วไป และชำระเงินกู้ยืม

กลุ่มบริษัทคอปเปอร์ไวร์ด มีจุดเด่น ผู้บริหารและทีมงานมีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในธุรกิจ เป็นผู้นำในธุรกิจสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ที่มีความหลากหลายมากที่สุดในประเทศไทย ขณะที่ ตลาดสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์มีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มบริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่ายครอบคลุมทั้งการค้าปลีก (B2C) และค้าส่งเชิงพาณิชย์ (B2B) ทำเลที่ตั้งของร้านค้าสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพได้อย่างครอบคลุม แผนการเข้ามาระดมทุนใน SET ครั้งนี้นับเป็นการแสดงความพร้อมในทุกด้านของกลุ่มบริษัท ทั้งในด้านผลการดำเนินงาน บุคลากร และโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน สร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนในอนาคต

พร้อมกันนี้มองภาวะตลาดในช่วงของการนำหุ้นเข้าเทรด กรณีมีความผันผวน ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ก็มีความมั่นใจถึงพื้นฐานของบริษัท ทั้งคุณภาพ ศักยภาพ รวมถึงทีมงานของบริษัท โดยที่ผ่านมาบริษัทก็ได้มีการปรับลดความเสี่ยงในการพึ่งพิงกลุ่มสินค้าแบรนด์ iPhone แม้ปัจจุบันจะยังมีสัดส่วน 60% และเพิ่มการจำหน่ายสินค้ากลุ่มดิจิทัลไลฟ์สไตล์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนมากกว่า 40% แล้ว และคาดว่าในอนาคตจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอีก จากเรื่องของ 5G ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

กลุ่มบริษัทประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าประเภทดิจิทัลไลฟ์สไตล์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และอุปกรณ์เสริม ครอบคลุมแบรนด์ชั้นนำกว่า 200 แบรนด์ และมีสินค้าหลากหลายกว่า 2,000 รายการ รวมถึงให้คำปรึกษาการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ มีความโดดเด่นในเรื่องสินค้าที่มีนวัตกรรม ความทันสมัย และสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น อุปกรณ์เกี่ยวกับเสียง อุปกรณ์เพื่อสุขภาพ และการออกกำลังกาย เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและสำนักงาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ