ม.ล.วัลลีวรรณ วรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TCMC) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขาย (ไม่รวมกับอัตราแลกเปลี่ยน) จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 7-10% โดยมองว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกตามช่วงไฮซีซั่น ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังคงมีคำสั่งซื้อจากโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ในระหว่างการผลิตในกลุ่มธุรกิจวัสดุปูพื้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เน้นเรื่องการออกแบบให้มีความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์โดยมีการร่วมมือกับดีไซเนอร์ชื่อดัง ควบคู่ไปกับการรักษาคุณภาพการผลิตที่มีมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
พร้อมกันนี้บริษัทยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจแบบ B2B หรือโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย ซึ่งบริษัทได้มีการออกงานแสดงสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าร่วมงาน HD Expo งานแสดงสินค้าเกี่ยวกับธุรกิจทางด้านงานบริการ ซึ่งจัดที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถช่วยให้บริษัทเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก
"บริษัทยังคงมั่นใจว่าผลประกอบการในปีนี้จะมีการเติบโต และจะมีกำไรจากผลการดำเนินงานที่ไม่รวมอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากในทุกธุรกิจของเรามีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และในช่วงครึ่งปีหลังจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ส่วนกำไรสุทธิรวมจริงยังคงต้องรอติดตามอัตราแลกเปลี่ยนก่อนว่าจะเป็นอย่างไรอีกครั้ง"ม.ล.วัลลีวรรณ กล่าว
ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่ประเทศอังกฤษได้มีการดำเนินงานภายใต้ชื่อ 2 บริษัท คือ อัลสตันท์ (Alstons) และ ดีเอ็ม มิดแลนด์ (DM Midlands) โดยมีแบรนด์ในการทำการตลาดทั้งหมด 4 แบรนด์ ซึ่งบริษัทได้เดินหน้าสร้างทีมบริหาร ประกอบด้วยบุคลากรจากทั้ง 2 กลุ่มบริษัท โดยจะบริหารบริษัทย่อยทั้งหมดภายใต้ชื่อบริษัท "TCM Living" เพื่อให้มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลง
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมความพร้อมในการนำ TCM Liveing เข้าตลาด AIM ที่ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ซึ่งคาดว่าจะสามารถยื่นได้ในช่วงไตรมาส 1/63 แต่อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสหภาพยุโรป และประเทศอังกฤษก่อนว่ามีความเหมาะสมหรือไม่จึงจะมีการตัดสินใจอีกครั้ง
นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าขายที่ดินบริเวณดอนเมือง ขนาดพื้นที่ 29 ไร่ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับผู้สนใจ 2-3 ราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตเดิม โดยเงินที่ได้จากการขายที่ดินจะนำมาใช้ชำระหนี้บางส่วนเพื่อลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) มาอยู่ที่ 1.75 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.9 เท่า และบางส่วนจะใช้ซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในทุกธุรกิจมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาท