นายออเสน การบริสุทธิ์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน-ตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทย ในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะแกว่งตัวบวก/ลบ 5% จากดัชนี SET ปัจจุบันที่ 1,650 จุด หรืออยู่ในกรอบ 1,570-1,730 จุด โดยปัจจัยที่มีผลกระทบมาจากต่างประเทศ ได้แก่ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ให้อ่อนแอลง หลังจากไตรมาส 2/62 ได้รับผลบกระทบค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับแรงงาน โดย Consensus คาดกำไร บจ.ปีนี้ที่ 11% และปีหน้าอยู่ที่ 10%
อย่างไรก็ตาม มองว่าหุ้นไทยยังน่าสนใจกว่าภูมิภาค ซึ่งตั้งแต่ต้นปีดัชนี SET บวกขึ้นมา 5% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค และช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับตัวลงเป็นจังหวะเข้าซื้อสะสม โดย P/E ตลาดในปีนี้อยู่ที่ 15 เท่า และคาดว่าปีหน้าจะอยู่ที่ 14 เท่า ทั้งนี้ แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่โมเมมตัมดีและราคาหุ้นขาลง, กลุ่มค้าปลีกที่ผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อทำให้กลุ่มนี้ไปได้ต่อ และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มุ่งเน้นขยายการลงทุนในต่างประเทศในจังหวะเงินบาทแข็งค่า อาทิ EGCO และ กลุ่มโรงพยาบาล
นายพงศ์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน-ตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในช่วง 6 เดือนข้างหน้า จาก 2.25% ลงมาอีก 0.50% หรือครั้งละ 0.25% จากที่ตลาดคาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ย 3-4 ครั้ง โดยให้เหตุผลว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการเป็นประธานาธิบดีต่ออีกสมัย ฉะนั้นต้องพยายามผลักดันนโยบายที่ทำให้กลับมาได้อีกครั้ง
ขณะที่คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในไตรมาส 4/62 มาที่ 1.25% เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 2.5% ซึ่งโอกาสจะเติบโตได้ถึง 3% เป็นไปได้น้อยมาก รวมทั้งแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังน่าจะต่ำกว่าเป้าหมาย รวมทั้ง ค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นเหตุผลหลักที่สนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม หากเฟดปรับลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งหรือไม่ปรับลดลง ก็เชื่อว่า กนง.คงจะยังตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป แต่หากเฟดปรับลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนและทำให้เงินบาทแข็งค่า ก็มีโอกาสที่ กนง.จะปรับลดดอกเบี้ย ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่เงินบาทแข็งค่าไม่ใช่จากเงินทุนไหลเข้า เพราะตั้งแต่ต้นปีไหลออกแม้ว่าจะไม่มาก แต่เนื่องจากมีการนำเข้าน้อยกว่าการส่งออก ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวก
นายพงศ์ธาริน กล่าวว่า ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น 1-5 ปีมีผลตอบแทนดีกว่าหรือใกล้เคียงผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว 10 ปี เพราะมีการเก็บภาษีกำไรจากการลงทุนในตราสารหนี้ 15% หลังการซื้อขาย 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีการลงทุนพันธบัตรระยะยาวเพื่อล็อกผลตอบแทน และซัพพลายไม่พอ เพราะกระทรวงคลังไม่ได้ออกพันธบัตรในช่วงนี้ เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายปี 63 ยังไม่ออกมา
ด้านนายโรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง คาดว่า มูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ของบริษัทในปี 62 จะเติบโตได้ดีกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวม โดยในปีที่แล้วภาพรวมมีอัตราเติบโต 6.6-7.0% ทั้งนี้ ปัจจุบัน อเบอร์ดีนฯ มี AUM ที่ 5.4 หมื่นล้านบาท และมุ่งออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งอเบอร์ดีนฯมีสัดส่วนรายย่อย 75% อีก 25% เป็นลูกค้าสถาบัน
ในเร็วๆนี้ บริษัทเตรียมออกก 3 กองทุนใหม่ ได้แก่ กองทุน Fixed Maturity Product ที่ลงทุนตราสารหนี้ Global , กองทุนหุ้น China A Share และ กองทุนเพื่อการเกษียณ แต่ไม่ใช่กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ทั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นกองทุนที่มีความต้องการจากลูกค้า เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำมาก