นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างรอใบอนุญาตในการให้บริการสินเชื่อบุคคล จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค.นี้ พร้อมตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลถึงสิ้นปี 62 ไว้ที่ 1 พันล้านบาท โดยจะเป็นสินเชื่อที่เข้ามาต่อยอดจากกลุ่มสินเชื่อรถทำเงิน ซึ่งบริษัทจะนำสินเชื่อบุคคลมานำเสนอให้กับลูกค้าสินเชื่อรถทำเงินเป็นอีกหนึ่งทางเลือก และสินเชื่อบุคคลเป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อรถทำเงิน ทำให้บริษัทจะมีมาร์จิ้นจากการปล่อยสินเชื่อที่สูงขึ้น
ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปัจจุบันอยู่ที่ 12% ซึ่งบริษัทจะลดระดับ NPL ให้อยู่ในระดับที่ไม่เกิน 10% จากการเพิ่มสินเชื่อใหม่ที่มีคุณภาพเข้ามาในพอร์ต พร้อมกับการปรับพอร์ตโดยการขายหนี้เสียออกทุกไตรมาสในส่วนของหนี้ที่ไม่สามารถติดตามได้แล้ว ส่วนการตั้งสำรองหนี้ในขณะนี้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งมองว่าเป็นการกดดันต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในขณะนี้
ขณะที่รายได้ในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะทรงตัวจากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2.88 พันล้านบาท ได้รับผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลกระทบการขายสินค้าบ้าง และผลกระทบของน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ส่งผลกระทบต่อการขายของร้านค้าหลักและแฟรนไชส์ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย ประกอบกับในปีนี้บริษัทไม่ได้มีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งโดยปกติแล้วการเติบโตของรายได้ก็จะเติบโตตามการขยายสาขาและพอร์ตลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทมองว่าในปี 63 รายได้จะกลับมาเติบโตได้ 10-15% จากการรุกขยายสาขาแฟรนไชส์และสาขาย่อยอย่างเต็มที่
นายกิตติพงศ์ กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในปี 63 ว่า บริษัทจะเน้นเดินหน้าขยายเครือข่ายการขายแบบเจาะลึกทุกอำเภอเข้าถึงทุกตำบล เพื่อขยายฐานลูกค้าให้เติบโตมากขึ้น โดยตั้งเป้าขยายธุรกิจแฟรนไชส์หรือสาขาย่อยของบริษัทไห้ครอบคลุม 925 อำเภอ ภายในสิ้นปี 63 และครบ 7,000 สาขา ที่เป็นสาขาแฟรนไชส์และสาขาย่อยทั่วประเทศภายในปี 65 จากปัจจุบันมีสาขาแฟรนไชส์และสาขาย่อยอยู่ที่ 869 สาขา ครอบคลุม 763 ตำบล จาก 475 อำเภอทั่วประเทศ ซึ่งการขยายสาขาแฟรนไชส์และสาขาย่อยบริษัทจะเดินหน้าขยาย 150 สาขา/เดือน ภายในระยะเวลา 40 เดือน เพื่อทำให้การขยายสาขาแฟรนไชส์และสาขาย่อยเป็นไปตามเป้า
โดยสาขาแฟรนไชส์ของบริษัทจะกำหนดเป็นรูปแบบต่างๆไว้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Standard, Premium และ Partner โดยในแต่ละรูปแบบจะใช้ยอดขายเป็นเกณฑ์ ซึ่งส่งผลต่อการจัดรูปแบบร้าน การวางสินค้า และการคิดคำนวณค่าตอบแทนการขายที่แตกต่างกัน แต่มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ การไม่เก็บค่าแรกเข้า และค่าธรรมเนียมรายปี รวมทั้งไม่ต้องลงทุนการซื้อสินค้าไปสต็อก ได้เป็นเจ้าของกิจการของตนเอง มีรายได้จากการขาย การสร้างทีมขายและรวมถึงรายได้จากการบริหารบัญชืลูกค้าเองตนเองแบบไร้ขีดจำกัด
ขณะเดียวกันยังสามารถขายสินค้าได้ทั้งในรูปแบบเงินสดและเงินผ่อน โดยบริษัทจะเป็นผู้ดูแลด้วยการนำระบบรองรับการจำหน่ายสินค้าที่ทันสมัย เรียนรู้ง่าย สามารถใช้งานได้ทันทีผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือ และมีทีมงานหลังบ้านที่คอยสนับสนุน ในการช่วยอำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอนของกระบวนการขายตลอดเวลา ส่วนสาขาหลักของ SINGER ปัจจุบันมีอยู่ 182 สาขา และจะขยายเพิ่มเป็น 200 สาขาในปี 63 และเพิ่มเป็น 300 สาขา ภายในปี 65
"เรามองถึงการสร้างเงินทุนหมุนเวียนในพื้นที่เล็กๆ โดยเข้ามาช่วยสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่เล็กที่สุดในประเทศ และจะสร้างรายได้กลับมาให้กับบริษัทด้วยเช่นกัน"นายกิตติพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทเน้นขยายสาขาแฟรนไชส์และสาขาย่อยให้เพิ่มเป็น 7,000 สาขา ภายในปี 65 และบริษัทตั้งเป้าพอร์ตลูกหนี้รวมเพิ่มเป็นแตะ 8 พันล้านบาท จากสิ้นปีนี้ที่ตั้งเป้าอยู่ที่ 4 พันล้านบาท และเพิ่มเป็น 6 พันล้านบาทภายในปี 63 โดยที่สัดส่วนพอร์ตลูกหนี้ในปี 65 นั้นจะแบ่งเป็นสัดส่วน 25% มาจากกลุ่มสินค้าแบรนด์ซิงเกอร์ และ 75% มาจากกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่แบรนด์ซิงเกอร์ ซึ่งรวมกับกลุ่มสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) และสินเชื่อรายย่อย จากปัจจุบันที่สัดส่วนกลุ่มสินค้าทั้ง 2 ประเภทมีสัดส่วนเท่ากันที่ 50:50 และในปี 63 กลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่แบรนด์ซิงเกอร์จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 65% เนื่องจากบริษัทจะมีกลุ่มสินเชื่อบุคคลที่เข้ามาเสริม
ด้านการเติบโตของรายได้ในปี 65 บริษัทฯ คาดว่าจะมีการเติบโตขึ้น 7 เท่า จากรายได้ในปัจจุบัน ซึ่งมาจากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นเป็น 7,000 สาขาทั่วประเทศ ทำให้บริษัทมีเครือข่ายที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ต่างๆในประเทศได้เพิ่มขึ้น และทำให้บริษัทมีพอร์ตลูกหนี้รวมเพิ่มขึ้น หนุนรายได้ของบริษัท