นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) กล่าวว่า บริษัทได้พัฒนาโครงการออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง (Origin Smart City Rayong) บนที่ดินกว่า 24 ไร่ บริเวณสี่แยกเนินสำลี ถ.สุขุมวิท จ.ระยอง ให้เป็นเมืองอัจฉริยะต้นแบบ เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพของระยองว่าเป็นจังหวัดที่จะสามารถเติบโตถึงขั้นเป็น New CBD จึงได้ร่วมกับองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนชั้นนำหลายรายที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มาช่วยเติมเต็มให้ทั้งโครงการกลายเป็นสมาร์ท ซิตี้ และสมาร์ทแพลทฟอร์มไปพร้อมกัน ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) คอตโต้ และคลาส คาเฟ่ (CLASS CAFÉ) มาร่วมเนรมิตโครงการมิกซ์ยูส มูลค่าโครงการรวมกว่าหมื่นล้านบาทแห่งนี้ ให้สามารถทรานส์ฟอร์มการใช้ชีวิตสู่สังคมแห่งอนาคต ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Beyond A Living Platform"
พร้อมกับได้ความร่วมมือจากพันธมิตรในหลายภาคส่วน ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่เข้ามาช่วยพัฒนา Smart Eco ทำให้โครงการมีการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ในขณะที่บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ได้ให้ร่วมมือด้าน Smart Tech วางโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานของโครงการให้พร้อมรองรับ 5G ส่วนคลาส คาเฟ่ จะมาช่วยส่งเสริมด้าน Smart Community ที่มาพร้อมร้านกาแฟ และ Co-Working Space 24 ชั่วโมง
อีกทั้งภายในโครงการต้องการสร้างไลฟ์สไตล์ฮับแห่งใหม่ของระยอง เราและพันธมิตรจะร่วมกันทำให้ที่นี่เป็นเมืองต้นแบบอัจฉริยะ ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต เติมเต็มศักยภาพจังหวัดระยองให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นับเป็นการสร้างเมืองใหม่เพื่อตอบสนองการพัฒนาของภาครัฐ และยังเป็นเมืองต้นแบบด้านการบริหารจัดการพลังงานอย่างคุ้มค่าด้วยเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทน ทั้งพลังงานไฟฟ้า และพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น พร้อมสู่การเป็นย่านใจกลางธุรกิจแห่งใหม่ หรือ New CBD ใจกลางเมืองระยอง
นายอรุช ช่างทอง กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจใน EEC ORI กล่าวว่า แผนการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง (Origin Smart City Rayong) มูลค่าโครงการรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมที่สูงที่สุดในระยอง, คอมมูนิตี้ มอลล์, ซุปเปอร์มาร์เก็ตระดับพรีเมียม, ร้านกาแฟชั้นนำอย่าง CLASS CAFÉ, Co-Working Space, โรงแรม Holiday Inn Express ในเครือ Intercontinental Hotels Group (IHG) เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ทันสมัย เป็นสังคมไร้เงินสด (Cashless Society)
โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 จะเริ่มต้นด้วยการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมกับ Home Automation และ Intelligence Facility จำนวนรวมถึง 1,234 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 2.3 พันล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการคอนโดมิเนียม เคนซิงตัน ระยอง (Kensington Rayong) เป็นอาคาร Low-rise 8 ชั้น 4 อาคาร 697 ยูนิต มีห้องพักแบบ 1 ห้องนอน และ 1 ห้องนอนพลัส ขนาด 23.20-36.90 ตร.ม. เริ่มก่อสร้างไตรมาส 4/62 คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 4/63
2.โครงการคอนโดมิเนียม นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง (Notting Hill Rayong) เป็นอาคาร High-rise 33 ชั้น 1 อาคาร 537 ยูนิต และเป็นอาคารที่สูงที่สุดใน จ.ระยอง ให้ผู้พักอาศัยได้เต็มอิ่มกับวิวสวยที่สุด 360 องศา ทั้งวิวทะเลและวิวเมืองระยอง พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายระดับพรีเมียมที่เตรียมไว้ให้ภายในโครงการ มีห้องพักแบบ 1 ห้องนอนและ 1 ห้องนอนพลัส ขนาด 22.50-34.80 ตร.ม. พิเศษ Smart Mirror สำหรับ Exclusive Room เริ่มก่อสร้างไตรมาส 4/62 คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 4/64 ทั้ง 2 โครงการจะเปิดพรีเซลพร้อมกัน 28 ก.ย. นี้ ในราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท
"นอกจาก Facility ในอาคารที่อยู่อาศัยของตัวเองแล้ว ผู้พักอาศัยจะได้รับประโยชน์จากพื้นที่ส่วนกลางของมิกซ์ยูส ที่ประกอบไปด้วย Smart Tech, Smart Eco, Smart Community ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุค 5.0 อาทิ Smart Shelter สเตชั่นอัจฉริยะ ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่าน Solar Cell ติดตั้ง Smart Screen ที่สามารถเช็คสภาพจราจร เช็คอุณหภูมิ สภาพอากาศ และค่าฝุ่น PM 2.5 พร้อมจุดบริการ Bike&Scooter Sharing เชื่อมั่นว่าโครงการจะตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยแห่งอนาคตจากการเติบโตของอีอีซี จากนั้นบริษัทจะทยอยพัฒนาส่วนอื่นๆ ของ Origin Smart City Rayong ต่อไป"นายอรุช กล่าว
นายอรุช กล่าวว่า โครงการพัฒนามิกส์ยูสขนาดใหญ่ Origin Smart City ระยอง มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จทั้งหมดภายใน 3-4 ปีข้างหน้า โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การพัฒนาที่อยู่อาศัย 2 โครงการ มูลค่า 2.3 พันล้านบาท ซึ่งจะเริ่มเปิดขายในวันที่ 28 ก.ย.ที่จะถึงนี้ โดยที่บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 70% ถึงสิ้นปีนี้ อีกทั้งยังมีที่ดินเหลือรองรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในอนาคตเพิ่มเติมอีก 3 ไร่ ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยได้อีก 3 โครงการ มูลค่ารวมราว 3.2 พันล้านบาท และในส่วนของการพัฒนาโครงการที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) บริษัทจะเริ่มพัฒนาโรงแรม Holiday Inn Express ในช่วงกลางปี 63 และโครงการคอมมูนิตี้ เฟสแรกพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่าออกแบบ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปลายปี 63 หรือต้นปี 64
ด้านนายพีระพงศ์ กล่าวว่า ในเดือน พ.ย.นี้ บริษัทจะเปิดให้บริการโรงแรม 2 แห่ง คือ โรงแรม Staybridge Suites Bangkok ทองหล่อ และโรงแรม Holiday Inn & Suites ศรีราชา โดยบริษัทตั้งเป้ามีอัตราการเข้าพัก (OCC) ในปีหน้ลอยู่ที่ 70% และภายใน 3 ปี (ปี 62-64) จะเพิ่มเป็น 85% ซึ่งการเปิดให้บริการโรงแรมทั้งสองแห่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ประจำ (recurring income) เสริมเข้ามา โดยตั้งเป้าหมายมีสัดส่วนรายได้ประจำเพิ่มขึ้นเป็น 15% ในช่วง 5 ปีนี้
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าสูงกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีการทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่เพิ่มเข้ามา 1 โครงการ คือ Knightsbridge Prime สาทร มูลค่า 3.9 พันล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 97% ซึ่งเริ่มทยอยโอนในช่วงเดือน ก.ย.นี้ และยังมีการโอนต่อเนื่องคอนโดมิเนียม 2 โครงการ คือ Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ และ Knightsbridge พหลโยธิน-อินเตอร์เชนจ์ โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนไปจนถึงปี 65 และมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 1.9 หมื่นล้านบาท
ส่วนยอดขายในปีนี้คาดว่าจะทำได้เกินเป้าที่ 2.8 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันทำได้แล้ว 1.85 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ได้แก่ คอนโดมิเนียม แบรนด์ ดิ ออริจิ้น (The Origin) จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท บนทำเลสุขุมวิท 105 รามอินทรา และพหลโยธิน ซึ่งจะทยอยเปิดขายในเดือนก.ย-พ.ยนี้ ตามลำดับ และยังมีเปิดโครงการแนวราบ แบรนด์ Britania 5 โครงการ มูลค่ารวม 8 พันล้านบาท ที่จะทยอยเปิดขายตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย.นี้เป็นต้นไป