นายสกุลรัตน์ ศิริพันธ์โนน กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจากไบโอเอทานอล (ฉะเชิงเทรา) จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจเอทานอลของกลุ่มบมจ.บีบีจีไอ (BBGI) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) สัดส่วน 60% และบมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) ในสัดส่วน 40% ปัจจุบันยังสามารถทำกำไรได้ แม้อาจจะลดลงบ้าง หลังจากราคาเอทานอลในปัจจุบันที่อยู่ราว 21 บาท/ลิตร นับว่าต่ำสุดในรอบ 4-5 ปี ส่วนหนึ่งมาจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและปัญหาโอเวอร์ซัพพลายทำให้เกิดการดั้มพ์ราคาในตลาด
อย่างไรก็ตามบริษัทมีโครงการลดต้นทุนการผลิต ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนพลังงาน โดยการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรระบบการผลิตไอน้ำ และปรับเปลี่ยนวัตถุดิบที่เป็นเชื้อเพลิงให้ค่าความร้อนใกล้เคียงกับเชื้อเพลิงประภทเดิม แต่ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นและได้ของเสียออกมาน้อยลง ทำให้สามารถลดการใช้พลังงานได้ 5 ล้านบาท/ปี และการดำเนินงานดังกล่าว ทำให้โรงงานผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังของบริษัท ได้รับรางวัล ASEAN Energy Awards 2019 รางวัลดีเด่นด้านพลังงานทดแทนประเภทโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพ ( Biofuels)
"ราคาเอทานอลปีนี้ต่ำกว่าทุก ๆ ปี อยู่ที่ 21 บาทต่อลิตร ต่ำกว่าในช่วง 4-5 ปีย้อนหลัง ส่วนหนึ่งมาจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และโอเวอร์ซัพพลายในประเทศ ที่มีดีมานด์แค่ 4 ล้านลิตรต่อวัน แต่ซัพพลายมีถึง 6 ล้านลิตรต่อวัน ก็มีการดัมพ์ราคาในตลาด เราก็มีโครงการลดต้นทุนการผลิต ปรับเปลี่ยน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในกลุ่มเอทานอล เรายังทำกำไรได้ แต่ก็ลดลง"นายสกุลรัตน์ กล่าว
นายสกุลรัตน์ กล่าวอีกว่า แผนการลดต้นทุนพลังงานในโรงงานจะยังคงมีต่อเนื่อง เบื้องต้นจะนำของเสียในกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ หรือการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดการใช้ไอน้ำลง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาความคุ้มค่าด้วย
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการขยายกำลังผลิตเอทานอลจากโรงงานแห่งนี้เป็น 2 แสนลิตร/วัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 แสนลิตร/วัน ใช้เงินลงทุนราว 300 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มดำเนินการผลิตในปี 63 และแล้วเสร็จในปี 64 โดยการขยายกำลังการผลิตจะช่วยลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยให้ต่ำลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ขณะที่จะรองรับความต้องการใช้เอทานอลของกลุ่มบางจากที่ยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง
โรงงานเอทานอล ของบริษัท ตั้งอยู่ในจ.ฉะเชิงเทรา และเป็น 1 ใน 3 แห่งของโรงงานเอทานอล 3 แห่งของ BBGI ซึ่งเป็นโฮลดิ้งคอมพานี ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ไบโอดีเซล และผลิตภัณฑ์พลอยได้
นายสกุลรัตน์ กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่ม BBGI มีกำลังการผลิตเอทานอลรวม 6 แสนลิตร/วัน แบ่งเป็น โรงงานฉะเชิงเทรา ที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ กำลังผลิต 1.5 แสนลิตร/วัน ส่วนโรงงานที่เหลืออีก 2 แห่งใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบในจ.กาญจนบุรี และจ.ขอนแก่น โดยโรงงานที่กาญจนบุรี เพิ่งขยายกำลังผลิตแล้วเสร็จทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 3 แสนลิตร/วัน ส่วนโรงงานที่ขอนแก่น อยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตอีก 2 แสนลิตร/วัน ซึ่งจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/63 ภายหลังการขยายโรงงานเอทานอลแล้วเสร็จทุกโรงงานจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 8.5 แสนลิตร/วันในปี 64 จากปัจจุบันอยู่ที่ 6 แสนลิตร/วัน
สำหรับเอทานอลที่ได้จะจำหน่ายให้กับกลุ่มบางจาก 60% ส่วนอีก 40% ที่เหลือจำหน่ายให้กับผู้ค้าน้ำมันรายอื่น ๆ เพื่อนำไปผสมกับน้ำมันเบนซิน เป็นแก๊สโซฮอล์ ซึ่งในอนาคตการที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะส่งเสริมการใช้ E20 ซึ่งมีเอทานอลผสม 20% ในน้ำมันเบซิน เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐานนั้น ก็เชื่อว่าจะผลักดันการใช้เอทานอลให้เติบโตขึ้นด้วย จากปัจจุบันที่การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินอยู่ที่ราว 30 ล้านลิตร/วัน หากมีการผสมเอทานอล 20% คิดเป็นการใช้เอทานอลราว 6 ล้านลิตร/วัน ซึ่งจะอยู่ในระดับเดียวกับกำลังการผลิตรวมของทั้งประเทศ จากปัจจุบันที่อยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลาย ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เดินเครื่องผลิตได้ไม่เต็มกำลังการผลิต
ส่วนในอนาคตกลุ่ม BBGI จะขยายกำลังการผลิตเอทานอลเพิ่มเติมหรือไม่นั้น คงต้องรอดูความชัดเจนจากนโยบายรัฐอีกครั้ง หลังล่าสุดรัฐบาลอาจปรับลดเป้าหมายการใช้เอทานอลในระยะยาวตามแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ.2561-2580 (AEDP2018) ที่อยู่ระหว่างจัดทำนั้น โดยลดลงเหลือ 6.6 ล้านลิตร/วัน จากแผน AEPD2015 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีเป้าหมายการใช้เอทานอล 11 ล้านลิตร/วันในปี 2579 เนื่องจากมีความกังวลต่อยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
อย่างไรก็ตามขณะนี้กลุ่ม BBGI ตั้งทีมวิจัยเพื่อค้นคว้านวัตกรรมใหม่สำหรับนำสินค้าเกษตรไปสู่ผลิตภัณฑ์ไบโอพลาสติก และไบโอพลาสม่า คาดว่าอีก 1-2 ปี จะได้ผลิตภัณฑ์ใหม่