นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารได้สนับสนุนเงินทุนให้กับบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) ในวงเงิน 50 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมพัฒนา Startup ของไทยให้มีความเข้มแข็ง โดยปัจจุบันธนาคารได้มุ่งมั่นในการพัฒนา Startup เพื่อเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพในการให้บริการของธนาคารแก่ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และเป็นการช่วยทำให้ธนาคารมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น และมีช่องทางอื่นๆที่สร้างรายได้เข้ามา จากปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงการให้บริการและรายได้จากการให้บริการในด้านต่างๆของธนาคารลดลงจากในอดีต
ในส่วนของการขับเคลื่อนด้านดิจิทัลของธนาคารนั้น ปัจจุบันเตรียมผลักดันให้ธนาคารเป็นดิจิทัลแบงก์กิ้งในระดับภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการขยายฐานลูกค้าผ่านการให้บริการในช่องทางดิจิทัลแบงก์กิ้งบนแอพพลิเคชั่น K Plus แทนการเปิดสาขาในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้มีจำนวนฐานลูกค้าที่ใช้บริการบนแอพพลิเคชั่น K Plus จำนวน 100 ล้านรายได้ในอนาคต จากปัจจุบันที่มีจำนวนฐานลูกค้าใช้บริการบนแอพพลิเคชั่น K Plus จำนวน 11 ล้านราย ซึ่งมีลูกค้าชาวต่างชาติที่ใช้บริการแอพพลิเคชั่น K Plus ได้แก่ ลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ แต่ยังมีสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับลูกค้าชาวไทย
"ตอนนี้ KBANK ก็มองไปถึงการขยายเพื่อก้าวขึ้นเป็น Regional Bank ผ่านการขยายฐานลูกค้าบนดิจิทัลแบงก์กิ้งใน K Plus ที่เราวางเป้าในอนาคตไว้ที่ 100 ล้านคนทั่วโลก หลังจากแผนการเปิดสาขาในต่างประเทศได้ทยอยเปิดไปบ้างแล้ว ตอนนี้เราจะเน้นไปที่การขยายฐานลูกค้าผ่านดิจิทัลแบงก์กิ้งมากขึ้น ซึ่งประเทศไหนที่เราไม่มีสาขาไปเปิดเราก็จะไปร่วมกับพันธมิตรในประเทศนั้น อย่างเช่น อินโดฯที่เรามีแบงก์พันธมิตรอยู่แล้ว แต่การเข้าไปในรูปแบบดิจิทัลแบงก์กิ้งก็ต้องขออนุญาตหน่วยงานกำกับในประเทศนั้นๆเหมือนกับการเปิดสาขาเช่นกัน เรามองว่าดิจิทัลแบงก์กิ้งจะสามารถช่วยให้ธนาคารขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้นและก้าวขึ้นเป็น Regional Bank ตามเป้าหมายของธนาคารได้"นางสาขขัตติยา กล่าว
ขณะที่แผนการดำเนินงานในปี 63 ธนาคารคาดว่าจะมีการพิจารณาแผนงานในช่วงเดือนต.ค.ที่จะถึงนี้ โดยที่จะต้องมีการการคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) และปัจจัยต่างๆมาประกอบการพิจารณาแผนงานในปีหน้า ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลและการเตรียมความพร้อมของผู้บริหารธนาคาร
ส่วนแผนการดำเนินงานในปีนี้ยังคงเป๊นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งการเติบโตของสินเชื่อยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5-7% เติบโต ซึ่งภาพรวมสินเชื่อยังมีการเติบโตที่ดี ทั้งสินเชื่อภาคธุรกิจที่ผ่านการลงทุนของภาครัฐและเอกชน และสินเชื่อรายย่อย แต่ก็มีการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อบ้าง ในภาวะที่เศรษฐกิจยังสม่ฟื้นตัวดีและหนี้ครัวเรือนยังสูง
กรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เลื่อนการใช้มาตรการคุมภาระหนี้ต่อรายได้สูงสุด (DSR) ออกไป ธนาคารยังมีเกณฑ์ในการให้สินเชื่อเหมือนเดิม และไม่ได้มีการผ่อนคลายความเข้มงวด ซึ่งยังเป็นไปตามเกณฑ์สัดส่วนภาระหนี้ที่ 40% ของรายได้เป็นเกณฑ์ ซึ่งหากธนาคารผ่อนคลายความเข้มงวดมากเกินไปมองว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพหนี้ได้ โดยที่ปัจจุบันสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารยู่ที่ 3.44% และอาจจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งธนาคารจะควบคุมให้อยู่ในระดับที่ไม่เกิน 3.7%