หุ้น BEC ราคาวิ่งขึ้น 3.70% มาอยู่ที่ 8.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 34.02 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.15 น. โดยเปิดตลาดที่ 8.25 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 8.45 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 8.25 บาท
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ถือ"หุ้นบมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) มีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อยต่อ Outlook ของ BEC ในระยะยาว แม้การคืนช่อง 2 ช่อง จะส่งผลให้ไตรมาส 3/62 ยังคงขาดทุนอยู่ จากค่าใช้จ่ายพนักงาน ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 74 ล้านบาท (คาดชดเชยพนักงาน 6 เดือน เงินเดือนเฉลี่ยที่ 80,000 บาท) แต่เชื่อมั่นว่า BEC จะพลิกเป็นกำไรในไตรมาส 4/62 จากเม็ดเงินโฆษณาที่ปรับตัวดีขึ้น และ Amortisation ที่ปรับลดลงในไตรมาส 4/62 เหลือ 32.5 ล้านบาท และ content + operation cost ที่ปรับตัวลดลงประมาณ 60 ล้านบาทในไตรมาส 4/62
สำหรับปี 2563 BEC จะมีค่าใช้จ่ายที่ลดลง คือ Amortisation -250 ล้านบาท, MUX -110 ล้านบาท, Operation cost -90 ล้านบาท และ Content cost -150 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2563 จะมี cost ที่ลดลงประมาณ 600 ล้านบาท ทั้งนี้ มีแนวโน้มปรับประมาณการกำไรปี 2562 ลงจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มในไตรมาส 3/62 และเม็ดเงินโฆษณากลุ่มทีวีที่ยังฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด แต่ปรับกำไรปี 2563 ขึ้น โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2563 ที่ 8.60 บาท อิง DCF (ไม่รวมผลกระทบจากการคืน 2 ช่อง)
หนังสือพิมพ์รายงานเช้านี้ว่า นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ ของ BEC ระบุว่า ต้องการให้ BEC ที่ยังขาดทุนในช่วงไตรมาส 1-2 ปีนี้ กลับมาสู่เส้นทางกำไรได้ในช่วงไตรมาส 4/62 นี้ โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญระยะสั้นที่ทำให้บริษัทกลับมาได้ คือ การที่บริษัทมีต้นทุนที่ลดลง จากการที่บริษัทคืนใบอนุญาตช่อง 13 แฟมิลี่ และช่อง 28 SD ให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เริ่ม 1 ตุลาคมนี้
ส่งผลให้ธุรกิจได้รับเงินชดเชยคืนกว่า 800 ล้านบาท แม้จะเป็นการบันทึกในกระแสเงินสด ไม่ได้นำมาบันทึกเป็นกำไร แต่ด้วยต้นทุนค่าเสื่อมที่จะปรับลดลงจากการคืนช่องก็จะช่วยได้ ประกอบกับ ธุรกิจได้มีการปรับลดจำนวนพนักงานเพื่อให้เหมาะสมกับจำนวนช่องที่ลดลงเหลือเพียง 1 ช่อง ทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลดลงเช่นเดียวกัน รวมถึงมีการปรับผังใหม่เรียกเรตติ้งเพิ่มเติมด้วย