นายวิชัย สุนทรวุฒิกุล ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส สำนักบริหาร บมจ.อาซีฟา (ASEFA) กล่าวว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 1,303.13 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 87.33 ล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจที่โดยปกติภาครัฐและเอกชนจะมีงานประมูลออกมาค่อนข้างมาก คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะมีมูลค่างานประมูลที่ออกมาราว 2,000-3,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดหวังได้รับงาน 25-30% ของมูลค่าประมูลที่ออกมาทั้งหมด
ประกอบกับ ณ สิ้นเดือน ส.ค.62 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) แล้วราว 2,029 ล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ผลิตและจัดจำหน่าย (Manufacturing product) 55%, ธุรกิจกลุ่มงานบริการ (Services) 29% และธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อ (Supplying and Distributing) 16% โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 60-70% ของมูลคางานดังกล่าว
ขณะที่บริษัทจะไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานตามกฎหมายแรงงานใหม่เหมือนในไตรมาส 2/62 แล้ว เนื่องจากเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ทำให้น่าจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น และน่าจะส่งผลดีต่อรายได้ในปีนี้เติบโต 10% ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
"เราคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก หรือคิดเป็นการเติบโต 50-55% เนื่องจากเป็นช่วงของไฮซีซั่นที่จะมีงานประมูลออกมาค่อนข้างมากทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงเรายังมีงานในมือ ที่คาดจะทยอยรับรู้ในปีนี้ถึง 60-70% ทำให้ทั้งปีเราน่าจะมีการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 10%"นายวิชัย กล่าว
นายวิชัย กล่าวว่า บริษัทยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจร่วมกันกับพันธมิตร ซึ่งพันธมิตรรายใหม่ที่จะเข้ามาจะต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รวมถึงมุ่งเน้นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยปัจจุบันบริษัทก็มีผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามา คือ Smart panel และ MDB Care On Cloud ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ เพื่อนำมาเสนอให้กับลูกค้า ปัจจุบันบริษัทเจรจากับลูกค้าที่เป็นโอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการค่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ 1 ราย เพื่อ Synergy ร่วมกัน ในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นบริหารจัดการพลังงาน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีข้อสรุปเมื่อใด อย่างไรก็ตาม ซอฟต์แวร์ดังกล่าวจะเข้ามาเติมเต็มกลุ่มสินค้าตู้สวิตช์บอร์ดไฟฟ้าเพื่อให้การบริหารจัดการพลังงานได้ดีขึ้น
นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรผู้ผลิตสายไฟเคเบิ้ลระดับโลก เพื่อให้แต่งตั้งบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าดังกล่าว คาดหวังว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงปลายปีนี้ หากสามารถปิดดีลได้จะส่งผลดีต่อสัดส่วนรายได้ธุรกิจ Automation System Integration ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาว