นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเป้าปริมาณยอดส่งจ่ายน้ำดิบปีนี้อยู่ที่ 300 ล้านลบ.ม. เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 250 ล้านลบ.ม. โดยครึ่งปีแรกทำได้แล้วที่ 157 ล้านลบ.ม. ซึ่งในครึ่งปีหลังนี้น่าจะทำได้ 143 ล้านลบ.ม. แม้การคาดการณ์สภาพภูมิอากาศของ กรมอุตุมนิยมวิทยา ระบุว่า ปริมาณน้ำฝนโดยรวมตลอดฤดูฝน น้ำฝนจะต่ำกว่าค่าปกติ 5-10% แต่เมื่อดูปริมาณน้ำในปัจจุบันยังมีเพียงพอกับความต้องการใช้ไปจนถึงสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในปีนี้ โดยการสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ไปยังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ การสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ไปยังอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำและรักษาความสมดุลของอ่างเก็บน้ำผ่านโครงข่ายท่อส่งน้ำดิบความยาว 491.8 กิโลเมตร และใช้น้ำจากแหล่งน้ำเอกชนเข้ามาเสริมในพื้นชลบุรีและฉะเชิงเทรา รวมถึงมีการสำรองน้ำจากแม่น้ำบางประกงเข้าอ่างเก็บน้ำบางพระในช่วงเดือนส.ค.-พ.ย.นี้ และสูบผันน้ำจากคลองวังโตนดเข้าอ่างเก็บน้ำประแสร์ ในเดือนมิ.ย.-ต.ค.62 อีกทั้งยังมีการประสานงานร่วมกับศูนย์ปฎิบัติการฝนหลวง เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำและกักเก็บเติมน้ำในเขื่อนหลักๆ
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายใหม่เข้ามาเพิ่มเติมอีก 3 ราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในไตรมาส 4/62 ซึ่งจะส่งผลดีต่อปริมาณยอดส่งจ่ายน้ำดิบเพิ่มขึ้นอีก 15-20 ล้าน ลบ.ม./วัน โดยน่าจะเห็นผลชัดเจนได้ตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นไป
สำหรับการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่ใช่น้ำดิบ เพื่อตอบโจทย์การเป็นผู้ให้บริการบริหารจัดการน้ำครบวงจร เช่น การจำหน่ายน้ำให้กับนิคมอุตสาหกรรม, น้ำดื่ม, น้ำประปา และน้ำรีไซเคิล ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการลงนามในโครงการใหญ่ๆ ที่อยู่ในภาคตะวันออกและภาคกลาง เพื่อดำเนินโครงการน้ำ Recycle และได้มีการลงนามซื้อขายน้ำอุตสาหกรรม กับบริษัท กัลฟ์ พีดี จำกัด ของโรงไฟฟ้ากัลฟ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง อายุสัญญา 25 ปี โดยมีเป้าหมายผลิตน้ำปีละ 22 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ในช่วงกลางปี 64 และยังลงนามซื้อขายน้ำอุตสาหกรรมกับ บริษัท อมตะ วอเตอร์ จำกัด อายุสัญญา 30 ปี เพื่อผลิตน้ำให้กับนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง โดยมีเป้าหมายผลิตน้ำปีละ 5.5 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาได้ในไตรมาส 2/63
ขณะที่บริษัทฯ ยังได้รับงานในโครงการจำหน่ายน้ำประปาและบำบัดนำเสียในพื้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา โดยแบ่งเป็น การจำหน่ายน้ำประปาปริมาณ 20,000 ลบ.ม./วัน, การบำบัดน้ำเสีย 16,000 ลบ.ม./วัน และน้ำ Recycle 4,000 ลบ.ม./วัน คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายและบำบัดน้ำเสียได้ในไตรมาส 3/63 ซึ่งน่าจะทำให้ในปี 63 จะมีการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้น และจะรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปีตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นไป โดยคาดหวังว่ารายได้จากการจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรม จะเพิ่มขึ้น 10-15% ของรายได้รวม อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ ปัจจุบันมาจากกลุ่มอุปโภคบริโภค 30% และอุตสาหกรรม 70%
นายจิรายุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ร่วมกับบริษัท ซุปเปอร์ วอเตอร์ จำกัด เพื่อลงทุนโซลาร์ลอยน้ำ โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้ให้พื้นที่อ่างเก็บน้ำที่ จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี ส่วนพันธมิตรดังกล่าวจะจำหน่ายไฟฟ้าให้กับบริษัทในอัตราที่ถูกกว่าการจำหน่ายให้กับการไฟฟ้า ซึ่งบริษัทฯ จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนค่าไฟที่ลดลงประมาณ 10-15% ของค่าใช้จ่ายไฟฟ้าโดยรวม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในไตรมาส 4/62