ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้แกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,650-1,680 จุด โดยจับตาการประชุมธนาคารกลางสหัฐ (เฟด) วันที่ 17-18 ก.ย.นี้ รวมถึงสถานการณ์ความไม่สงบจากเหตุโจมตีโรงงานน้ำมัน 2 แห่ง ของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีความกังวลว่าจะขยายผลไปสู่สงคราม แม้ระยะสั้นจะส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ทั้งโรงกลั่น และน้ำมัน จากปริมาณน้ำมันตลาดโลกที่ลดลง
ขณะเดียวกันภายในช่วงสัปดาห์นี้ แนะนำให้ยังคงจับตาสถานการณ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยในวันที่ 18 ก.ย.นี้ เป็นวันเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติประเด็นนายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วน ขณะเดียวกันทางสหรัฐจะมีการเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างในเดือน ส.ค.
พร้อมทั้งการรายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และการแถลงมติการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ที่จะรู้ผลในเช้าวันที่ 19 ก.ย. ซึ่งคาดว่าเฟดน่าจะลดดอกเบี้ยอีกประมาณ 0.25 % และวันเดียวกัน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประชุมนโยบายการเงิน และแถลงมติอัตราดอกเบี้ยออกมาเช่นกัน
อีกทั้งทางสหรัฐจะมีการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีการผลิตเดือน ก.ย. ดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 2/62 รวมทั้งยอดขายบ้านมือสองเดือน ก.ค. ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือน ส.ค. ส่วนวันที่ 20 ก.ย. สหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือน ก.ย. ดังนั้น จากสถานการณ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ยังคงเป็นตัวแปรหลักด้านการลงทุน
นอกจากนี้ ยังมองอีกว่าจากปัจจัยค่าเงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบจากต้นปีเฉลี่ย 6% และล่าสุดแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 6 ปีนั้น มองว่าส่งผลเชิงลบต่อการแข่งขันด้านราคาสินค้าส่งออกของไทย ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกปีนี้ลดลงจากปีที่แล้ว ขณะที่ภาระหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยที่สูงเป็นอันดับ 2 ของทวีปเอเชีย จะกระทบต่อกำลังซื้อในระยะยาวได้ โดยล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% อาจไม่ทันใช้ภายในปีนี้ลดผลบวกต่อการเพิ่มอำนาจซื้อของผู้บริโภค
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลให้เฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดของกระทรวงแรงงานสหรัฐ ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ จากมาตรการ "ชิม ช็อป ใช้" และมาตรการเพิ่มเติมสนับสนุนการท่องเที่ยว จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวในช่วงปลายปี
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนโรงกลั่นน้ำมัน จากเหตุการณ์การโจมตีโรงงานน้ำมันทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้น เช่น TOP SPRC และ ESSO ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นกว่า 10% จากเหตุดังกล่าวเป็นประเด็นบวกต่อ PTTEP และ PTT รวมทั้งแนะนำเก็งกำไรหุ้น Defensive Stock เช่น EASTW, TTW, BCH, CPALL, BJC และหุ้น Domestic Play เช่น ADVANC, AMATA, EKH, SISB และ HMPRO
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 1,495-1,535 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองคำไทย 21,580-22,210 บาท แม้จะมีปัจจัยหนุนจากกรณีโรงงานน้ำมันซาอุดีอาระเบียถูกโจมตีทำให้มีความกังวลเกี่ยวกับสงครามเพิ่มขึ้น อีกทั้งคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 2.00% ในการประชุมวันที่ 18 ก.ย.นี้ จึงแนะนำขายทำกำไรหลังทราบผลการประชุมเฟด และชะลอการลงทุนในทองคำ เนื่องจากช่วงนี้ตลาดสนใจสินทรัพย์เสี่ยงมากกว่าสินทรัพย์ปลอดภัย