นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 63 เติบโต 15% จากปี 62 ที่มั่นใจว่าจะทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย 1.6 พันล้านบาท โดยการเติบโตรายได้ในปีหน้าจะมาจากการรุกการขายคอนเทนต์ในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งในประเทศเดิมที่ขายคอนเทนต์ไปแล้วเกือบ 10 ประเทศ และจะมีการขยายตลาดใหม่เพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะทำให้สัดส่วนยอดขายต่างประเทศเพิ่มเป็น 35-40% จากปีนี้อยู่ที่ 30-35% เพราะเชื่อว่าความสำเร็จจากการขายคอนเทนต์ในต่างประเทศจะช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
หลังจากบริษัทเข้าไปขายคอนเทนต์ละครช่อง 3 ซึ่งบริษัทได้สิทธิจัดจำหน่ายแบบ Exclusive โดยนไปเสนอขายในตลาดเกาหลีใต้สำเร็จ 8 เรื่อง ทำให้บริษัทมองโอกาสการนำละครช่อง 3 เข้าไปขายในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่จะนำละครเรื่อง"บุพเพสันนิวาส"นำร่องเข้าไปขายให้กับช่องทีวี คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงปลายปี 62 หรือต้นปี 63 ซึ่งหากการขายละครไทยในประเทศญี่ปุ่นได้สำเร็จ บริษัทมองว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้กับละครไทยในการขายในตลาดประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมอีกด้วย "ปัจจุบันเริ่มเห็นว่าหลายๆ ประเทศเริ่มสนใจละครไทยเพิ่มมากขึ้น เพราะละครไทยเป็นละครที่มีคุณภาพทั้งเรื่องบท นักแสดง การถ่ายทำ และมีการวัดเรตติ้ง ใกล้เคียงกับซีรี่ย์เกาหลี ซึ่งต่างจากซีรี่ย์ของจีนที่ไม่มีการวัดเรตติ้ง และราคาขายต่อตอนของละครไทยยังถูกกว่าซีรี่ย์เกาหลีมาก โดยซีรีย์เกาหลีราคาขายที่ 10,000 เหรียญสหรัฐฯ/ตอน แพงมากกว่าละครไทยที่ขาย 3,000-5,000 เหรียญสหรัฐฯ/ตอน ถ้าบางเรื่องพีคๆ ก็ไป 7,000 เหรียญสหรัฐฯ/ตอน ส่วนของฟิลิปปินส์ยังไม่สูงมาก 800-1,500 เหรียญสหรัฐฯ/ตอน ตอนนี้หลายๆประเทศก็เปิดรับละครต่างชาติมากขึ้นและมองหาคอนเทนต์ที่มีราคาถูกลง"นายจักรพงษ์ กล่าว
ขณะที่รายการข่าว CNBC หลังจากที่บริษัทได้ตกลงในการนำรายการข่าวไปออกอากาศแล้วทั้งหมด 5 ช่อง คือ GMM25, AMARIN TV, TNN24, TRUE4U และช่อง 5 ไปเรียบร้อยแล้ว บริษัทยังอยู่เจรจากับพันธมิตรช่องทีวีอีก 2 ช่อง เพื่อนำรายการข่าวของ CNBC ไปออกอากาศ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 4/62
ส่วนการนำคอนเทนต์ของบริษัทไปฉายผ่านช่องทาง OTT บนแอพพลิเคชั่นออนไลน์ ปัจจุบันบริษัทได้ข้อสรุปจากพันธมิตรมาแล้ว 3 ราย สามารถเปิดเผยได้ 2 ราย คือ Line TV และ iflix และในปี 63 จะได้จากพันธมิตร OTT ที่อยู่ระหว่างหาเจรจา 3 ราย ซึ่งในปี 63 จะมีพันธมิตร OTT รวมทั้งหมด 6 ราย และทำให้บริษัทมีช่องทางในการขายและนำเสนอคอนเทนต์เพิ่มขึ้น
ส่วนแผนการเป็นผู้ร่วมผลิตคอนเทนต์กับพันธมิตรในรูปแบบ Co-Production ในปี 63 บริษัทคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการเจรจาร่วมผลิตคอนเทนต์กับพันธมิตรในประเทศอย่างน้อย 1 ราย ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการทำ Co-Production ไปแล้ว 1 เรื่อง คือ สยามรามเกียรต์ ที่จะเริ่มออกอากาศภายในปี 63 และมีความชัดเจนแล้วในการร่วมผลิตคอนเทนต์กับพันธมิตรชาวฟิลิปปินส์ ที่วางแผนจะผลิตซีรี่ย์ แนวโรแมนติคคอมเมดี้ ออกมาในปี 63 และบริษัทยังเดินหน้าในการหาพันธมิตรมาร่วมผลิตคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำคอนเทนต์ในอาเซียนในปีหน้า
ทั้งนี้ บริษัทจะมีการประกาศเปิดตัวพันธมิตรและคอนเทนต์ใหม่ๆเพิ่มเติมออกมาอีกภายใต้ JKN Mega Showcase 2019 ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ พร้อมการเปิดตัวธุรกิจ JKN Living Network ซึ่งเป็นธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อความงามขายผ่านช่องทางทีวีช็อปปิ้ง ซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัว มีสินค้าทั้งหมด 17 สินค้า และเป็นแบรนด์ของตนเอง 1 แบรนด์ คือ น้ำหอม INSTINCT ที่จะเปิดตัวในงานเป็นครั้งแรก และเริ่มทำการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางทีวีช้อปปิ้งในไตรมาส 1/63
ส่วนการนำหุ้นของบริษัทย้ายเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปัจจุบันยังคงต้องรอให้ขนาดของ Market Cap ของ JKN เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ก่อน ซึ่งในเบื้องต้นหากปี 63 ขนาด Market Cap ของ JKN เป็นไปตามเกณฑ์แล้ว บริษัทก็พร้อมจะย้ายเข้าเทรดใน SET