นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด บริษัทพัฒนาบ้านจัดสรรในเครือบมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์บริทาเนีย จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 8.3 พันล้านบาท ได้แก่ บริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 485 ยูนิต ราคาขาย 4-8 ล้านบาท, บริทาเนีย บางนา กม.42 เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จำนวน 492 ยูนิต ราคาขาย 3-5 ล้านบาท, บริทาเนีย คูคต สเตชั่น เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 138 ยูนิต ราคาขาย 5-8 ล้านบาท
รวมทั้ง บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา เป็นบ้านเดี่ยว 278 ยูนิต ราคาขาย 6-9 ล้านบาท และบริทาเนีย สายไหม เป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮม 294 ยูนิต ราคาขาย 2-5 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยเปิดพรีเซลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/62 เริ่มจากบริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ ในวันที่ 19-20 ต.ค.นี้
สำหรับโครงการใหม่ที่บริษัทจะเปิดขายในช่วงครึ่งหลังปีนี้ยังอยู่ในทำเลเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และมีราคาขายตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มของสินค้าแนวราบส่วนใหญ่กว่า 70% ที่ตลาดยังมีความต้องการซื้ออยู่มาก และบริษัทจะเจาะกลุ่มไปที่ลูกค้าที่มีครอบครัว ซึ่งมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่มากขึ้น และจากการเปิดโครงการในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าประสบความสำเร็จจากการตอบรับของลูกค้าเป็นอย่างดี โดยได้เปิดโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนียไปแล้วทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4 พันล้านบาท และสามารถปิดการขายไปแล้ว 1 โครงการ
"หลายโครงการที่เปิดตัวใหม่ปีนี้จะยังคงเกาะทำเลกรุงเทพฯตะวันออก ตอกย้ำภาพของเราในฐานะเจ้าทำเลที่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคย่านดังกล่าวเป็นอย่างดี รวมทั้งตอกย้ำกลยุทธ์การเจาะตลาด Blue Ocean ที่เครือออริจิ้นให้ความสำคัญตลอดมา และเพื่อเป็นการขยายความสำเร็จ ปีนี้เราจึงบุกไปพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพใหม่ ๆ อย่างกรุงเทพฯเหนือ เช่น คูคตและสายไหม ซึ่งเป็นทำเลที่เรายังเห็นการเติบโต"นางศุภลักษณ์ กล่าว
นางศุภลักษณ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบสำหรับในปี 62 ที่ 2.5 พันล้านบาท โดยช่วง 9 เดือนแรกปีนี้สามารถทำยอดขายไปได้แล้ว 1.5 พันล้านบาท และในช่วงไตรมาส 4/62 คาดหวังว่าการเปิด 5 โครงการใหม่จะช่วยเข้ามาสนับสนุนยอดขายไม่ต่ำกว่า 100-200 ล้านบาท/โครงการ ซึ่งจะทำให้ยอดขายในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ส่วนยอดโอนของโครงการแนวราบในปี 62 ได้ตั้งไว้ที่ 2 พันล้านบาท บริษัทยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมาย โดยยอดขายที่ทำได้แล้ว 1.5 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งจะทยอยโอนเข้ามาในไตรมาสสุดท้ายของปืนี้ และส่วนที่เหลือจะทยอยโอนในปี 63 ซึ่งโครงการแนวราบของบริษัทถือว่ามีรอบระยะเวลาตั้งแต่การขายถึงการส่งมอบเพียง 3-9 เดือน แล้วแต่กรณีของลูกค้า ทำให้ใช้ระยะเวลาการรับรู้รายได้ที่ไม่นาน
ขณะเดียวกันบริษัทมองว่าในช่วงไตรมาส 4/62 จะเห็นภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง หลังจากช่วงไตรมาส 2/62 ได้รับผลกระทบจากมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ทำให้การตัดสินใจซื้อของลูกค้าชะลอตัว และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างชะลอการเปิดโครงการ ซึ่งในไตรมาส 4/62 จะเห็นการกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่ของผู้ประกอบการมากขึ้น และคาดหวังไปถึงภาครัฐที่อาจจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมาในช่วงปลายปีนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามาตรการ LTV จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่สำหรัลการขายโครงการแนวราบ มาตรการ LTV สามารถช่วยแสกนลูกค้าที่เข้ามาได้ส่วนหนึ่ง แต่ในช่วงนี้จะเห็นว่าธนาคารพาณิชย์ยังคงเข้มงวดการปล่อยสินเชื่ออยู่บ้าง โดยที่บางธนาคารปฏิเสธการให้สินเชื่อกับลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและกลุ่มอาชีพอิสระ ทำให้บริษัทต้องมีการช่วยเหลือและให้คำแนะนำแก่ลูกค้าเพื่อให้สามารถขอสินเชื่อผ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ลูกค้าปรับลดรูปแบบการซื้อบ้าน เช่น จากบ้านเดี่ยวมาเป็นบ้านแฝด หรือทาวน์เฮาส์ ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถผ่อนต่อเดือนลดลง และธนาคารสามารถอนุมัติสินเชื่อให้กับลูกค้าได้ แต่หากลูกค้าไม่สามารถขอสินเชื่อได้ บริษัทก็จะนำโครงการไปเสนอขายให้กับลูกค้าที่ลงทะเบียนรอซื้อไว้แทน โดยที่ปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดของบริษัทอยู่ที่ 15-20% ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของทาวน์เฮาส์ของบริษัทอยู่ที่เกือบ 50%