(เพิ่มเติม) FSS รุกบริการ Wealth Management ดึงลูกค้า High Net Worth ตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์แตะ 7,000-1 หมื่นลบ.-ปี 63 โตเท่าตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 19, 2019 17:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) เปิดตัวการบริการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนแบบครบวงจร (Wealth Management) เปืนอีกหนึ่งของทางการลงทุนให้แก่ลูกค้ากลุ่ม High Net Worth เพื่อให้ลูกคำได้รับผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายท่ามกลางสภาวะของตลาดหุ้นผันผวนหนัก พร้อมตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของบริษัท (AUM) ราว 7,000-10,000 ล้านบาทในปีนี้ ก่อนดันเติบโตอีกเท่าตัวในปี 63

นายพิษณุ วัฒนวนาพงษ์ กรรมการบริหาร ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า FSS กล่าวว่า แนวโน้มในการลงทนปัจจุบันปรับตัวลงอย่างมากนับจากต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งในตอนนี้อยู่ในช่วงปลายวัฏจักรทางเศรษฐกิจขาขึ้นนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจซับไพร์มบวกกับปัจจัยเสี่ยงหลายๆด้านเช่น สงครามการค้า ปัญหาการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) การเดิบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงปัญหาหนี้สินครัวเรือน ปัญหาการเมืองรวมไปถึงปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อีกมากมาย

"ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความผันผวนอย่างมากในตลาดปัจจุบัน เราเลยมองว่าจะดีกว่าไหมหากเราได้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้การลงทุนให้ง่ายขึ้นได้กำไรมากขึ้น มีความเสี่ยงน้อยลงในสภาพตลาดที่ผันผวนเช่นนี้" นายพิษณุ กล่าว

นายพิษณุ กล่าวว่า บริษัทได้เริ่มให้บริการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนแบบครบวงจร ตั้งแต่เดือนเม.ย.62 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ปัจจุบันมีฐานลูกค้ารวมกว่า 100 ราย หรือคิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของบริษัท อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท ขณะที่วางเป้าจะเพิ่มฐานลูกค้าอีก 100 ราย ซึ่งจะผลักดันให้ AUM เพิ่มเป็น 7,000-10,000 ล้านบาทในปีนี้ และแตะระดับ 20,000 ล้านบาทในปี 63 ขณะเดียวกันก็มีแผนเพิ่มทีม Relationship Manager เป็น 15-16 ราย จากปัจจุบันมีอยู่ 12 ราย

ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้าของบริษัท ได้เน้นไปที่การจัดสรรสินทรัพย์การลงทุนให้เหมาะสมภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมกระจายความเสี่ยงให้แก่ลูกค้า ในผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้, ตราสารทุน รวมไปถึงกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในหลากหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งทางฝ่ายฯ มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญและเครื่องมือต่าง ๆ ช่วยคัดเลือกประเภทสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงตามความต้องการของนักลงทุน

"เรามีครบ 6 ผลิตภัณฑ์ในด้านการลงทุน ตามความต้องการของลูกค้าในทุกระดับความเสี่ยง มีช่องทางลงทุนมากมายไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม, Fixed Income, Wealth Advice หรือ Private Fund ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติใบอนญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าจะได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต.ในไตรมาส 4/62 ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการขยายฐานลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต

อีกทั้ง ยังมีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้ข้อมูลด้านการลงทุนมากมาย ช่วยอัพเดทข่าวสารที่สนใจให้กับนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยมีกลยุทธ์หลักคือการสร้าง Relationship ที่ดีกับลูกค้าและกลยุทธ์เสริมต่าง ๆ ที่จะมาช่วยให้เราบรรลุเป้าหมาย เช่น การสร้างที่ปรึกษาทางการเงินที่มีประสบการณ์ และมีศักยภาพมากที่สุดทีมหนึ่งในประเทศ มีผลิตภัณฑ์ครอบคุมและตอบโจทย์ความต้องการในการลงทุน มีการเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารให้กับลูกค้าและลูกค้าสามารถเข้าถึงพอร์ตการลงทุนผ่านระบบ Funds Online ได้ตลอดเวลา"นายพิษณุ กล่าว

นายพิษณุ กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจการบริการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนแบบครบวงจร ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัท โดยคาดว่าภายใน 3-5 ปี นับจากปี 63 เป็นต้นไป จะมีรายได้เติบโตเป็น 50-100 ล้านบาท จากสิ้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 30-40 ล้านบาท

ปัจจุบัน FSS ให้บริการแบบครบวงจร พร้อมเป็นตัวแทนซื้อขายกองทุนรวมของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ชั้นนำของประเทศไทยกว่า 21 บลจ. โดยแบ่งการให้บริการบัญชีซื้อขายกองทุนรวมผ่านบัญชีซื้อขายหน่วยลงทุนแบบไม่เปิดเผยชื่อผู้ถือหน่วยลงทุน (Omnibus Account) และการให้บริการซื้อขายกองทุนรวมผ่านบัญชีซื้อขายหน่วยลงทุนแบบเปิดเผยชื่อผู้ถือหน่วยลงทุน (Selling Agent) ที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนในทุกประเภท

ด้านนายพันเลิศ เจริญสวรรค์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ลงทุนลูกค้า FSS กล่าวว่า บริษัทคาดดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังคงมีความผันผวน โดยให้กรอบไว้ที่ 1,600-1,700 จุด จากปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,740 จุด

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ แนะนำกลุ่มหุ้นธนาคารพาณิชย์ ที่มีอัตราผลตอบแทนค่อนข้างสูง,กลุ่มพลังงาน ที่ราคาปรับตัวลดลงแรง จึงมองว่าเป็นโอกาสที่น่าสะสม และกลุ่มหุ้นการบริโภคภายในประเทศ และหุ้นที่ไม่อิงกับปัจจัยภายนอกประเทศจนเกินไป โดยแนะการจัดพอร์ตการลงทุนที่นักลงทุน สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับค่อนข้างสูง ให้ลงทุนในหุ้น 60% ซึ่งในส่วนนี้แบ่งเป็น กองทุนหุ้นทั่วโลก 30% ,หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่ 20% และที่เหลือลงทุนในกองทุนหุ้นไทย อีกทั้งให้ลงทุนในกองรีท (REIT) 20% และตราสารหนี้ 30%


แท็ก ตลาดหุ้น   (FSS)  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ