โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO) หลังมองแนวโน้มผลประกอบการครึ่งหลังของปี 62 มีทิศทางที่ดี จากสเปรดราคายางมะตอยและราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น และต้นทุนการผลิตปรับตัวลดลง ประกอบกับยอดขายในภูมิภาคยังอยู่ในระดับที่ดี ขณะที่ TASCO ยังได้รับประโยชน์จากกฎข้อบังคับใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 63 ที่กำหนดให้ต้องใช้น้ำมันที่มีซัลเฟอร์ต่ำลง ทำให้ยางมะตอยที่ได้จากกระบวนการผลิตน้ำมันที่มีซัลเฟอร์สูงในตลาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาขายปรับตัวขึ้นได้ ขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบหนักที่มีซัลเฟอร์สูงจะลดลง
ช่วงบ่ายราคาหุ้น TASCO อยู่ที่ 20.20 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือ -0.98% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.57%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) กสิกรไทย ซื้อ 24.50 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 25.00 เอเชีย เวลท์ ซื้อ 22.40 ทิสโก้ ซื้อ 22.70
นายกวินกร หวังพีระวงศ์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการของ TASCO ในช่วงครึ่งหลังปี 62 คาดว่าจะมีกำไร (Core profit) เฉลี่ยไตรมาสละ 600 ล้านบาท ประเมินอัตรากำไรขั้นต้นในช่วงครึ่งหลังของปีจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 13% จากครึ่งปีแรกที่ระดับ 7% จากส่วนต่าง (สเปรด) ของราคายางมะตอยและราคาน้ำมันดิบปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับมีต้นทุนที่ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี และอุปสงค์ในภูมิภาคยังอยู่ในระดับที่ดีด้วย
นอกจากนี้ TASCO ยังได้ประโยชน์จากเกณฑ์ใหม่ของ IMO ซึ่งในปี 63 กำหนดเกณฑ์ให้กองเรือเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันซัลเฟอร์สูงมาเป็นซัลเฟอร์ไม่เกิน 0.5% ทำให้โรงกลั่นต้องกำจัดผลิตภัณฑ์ยางมะตอยที่ได้จากกระบวนการผลิตพร้อมกับน้ำมันซัลเฟอร์สูง ทำให้ supply ในตลาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาขายยางมะตอยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น
ขณะเดียวกันความต้องการน้ำมันดิบที่มีปริมาณซัลเฟอร์สูงจะลดลงด้วย ซึ่งปัจจุบันต้นทุนการผลิตยางมะตอยของ TASCO ผูกกับการซื้อวัตถุดิบในเวเนซูเอลา ส่งผลให้ต้นทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ แนะนำซื้อหุ้น TASCO ให้ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท/หุ้น เทียบกับราคาหุ้น ณ ปัจจุบันยังถือว่ามี upside ได้อีกประมาณ 20% โดยคาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปีนี้ 4.7-4.8% และปี 63 ที่ 5%
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มผลประกอบการของ TASCO ในครึ่งหลังปี 62 แข็งแกร่งจากแนวโน้มสเปรดดีขึ้น โดยผู้บริหารให้ Guidance ว่าสเปรดของยางมะตอยกับน้ำมันจะกว้างขึ้นเพราะตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/62 จนถึงปัจจุบันราคายางมะตอยยังคงสูงที่ 390-395 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ขณะที่ราคาน้ำมันลดลงเป็น 58-60 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณการขายในครึ่งปีหลังจะเติบโต 21% จากงวดปีก่อน หรือเป็นประมาณ 1.05 ล้านตัน จากสัดส่วนยอดขายในประเทศ 20% และต่างประเทศ 80% ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 13% จากครึ่งปีแรกที่ 12.5% นอกจากนั้นในไตรมาสที่ 4/62 จะได้รับค่าเคลมประกันจากเหตุเพลิงไหม้คลังเก็บน้ำมันในปีก่อนด้วย
ด้านอุปสงค์ในตลาดต่างประเทศยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย และเวียดนาม ขณะนี้ TASCO ได้รับคำสั่งซื้อที่แน่นอนสำหรับไตรมาส 3/62 แล้ว คาดว่าปริมาณขายจะสูงที่ 0.6 ล้านตัน หรือเติบโต 58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะเดียวกันยังได้ประโยชน์จาก IMO ที่ตั้งแต่ 1 ม.ค.63 เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันที่มีซัลเฟอร์ไม่เกิน 0.5% จากปัจจุบันที่กำหนดไว้ไม่เกิน 3.5% ทำให้โรงกลั่นจะหันไปผลิตน้ำมันที่ซัลเฟอร์ต่ำมากขึ้น ขณะที่อุปทานน้ำมันที่ซัลเฟอร์สูงที่ให้ยางมะตอย 70-75% จะลดลง ยังผลให้ราคาขายยางมะตอยจะปรับขึ้นได้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบหนักที่มีซัลเฟอร์สูงจะลดลง
นอกจากนี้ TASCO พยายามลดความเสี่ยงเรื่องการซื้อวัตถุดิบจากเวเนซูเอลา โดยการหาตลาดซื้อใหม่ ๆ เช่น โคลอมเบีย, บราซิล, เอกวาดอร์, อินโดนีเซีย และตะวันออกกลาง แต่น้ำมันในตลาดเหล่านี้ให้ Yield ต่ำกว่าเวเนซูเอลา ส่วนวัตถุดิบจากเวเนซูเอลา ปัจจุบันได้รับมาแล้ว 8 Shipments คาดว่าทั้งปีนี้จะได้รับ 15 Shipments ซึ่งเพียงพอต่อการผลิตถึงปีหน้า
บทวิเคราะห์บล.เอเชีย เวลท์ ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อภาพรวมธุรกิจของ TASCO ในช่วงครึ่งหลังปี 62 จากแนวโน้มราคาน้ำมันที่คาดว่าจะทรงตัวหรืออาจจะอ่อนตัวลงที่ระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล เป็นผลบวกต่อธุรกิจของ TASCO ซึ่งใช้น้ำมันดิบชนิดหนักเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตยางมะตอย และซัพพลายน้ำมันดิบที่รับจากเวเนซูเอล่ายังคงเข้ามาตามปกติและสามารถล็อกซัพพลายได้ถึงไตรมาส 2/63
ประกอบกับแนวโน้มการขายในต่างประเทศคาดว่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะที่ประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม ที่คาดว่าจะมีการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ