นางสาวนิตา ตรีวีรานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทาคูนิ กรุ๊ป (TAKUNI) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทเตรียมแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ หลังจากเข้าลงทุนในบริษัทร่วมที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ชื่อ บริษัท เอ็กซ์แซคท์ เรียลเอสเตท จำกัด โดย TAKUNI ถือหุ้น 40% ร่วมกับบริษัท เอซ เอสเตท กรุ๊ป จำกัด ถือหุ้นราว 60%
ทั้งนี้ TAKUNI จะพัฒนาโครงการแรกบนที่ดินของบริษัทในย่านบางแคเป็นโครงการบ้านแฝด 1 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 600 ล้านบาท จำนวนไม่ต่ำกว่า 90 ยูนิต ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปีหน้าและเปิดขายในไตรมาส 3/63 พร้อมรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4/63 ทันที
"นี่จะเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแรก ยังเป็นที่ดินแห่งเดิมที่บริษัทได้เคยซื้อไว้เพื่อจะทำหมู่บ้านแต่มีการชะลอไป ตอนนี้เราได้พันธมิตรใหม่เข้ามาแล้ว หากโครงการแรกนี้สามารถพัฒนาไปได้และมียอดขายที่ดี เราก็อาจจะมีการพิจารณาทำโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติมอีก"นางสาวนิตา กล่าว
สำหรับภาพรวมผลประกอบการของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะกลับมามีกำไรสุทธิ แม้ว่าช่วงครึ่งปีแรกจะมีผลขาดทุนอยู่ 3.70 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ธุรกิจจำหน่ายก๊าซ LPG ในไตรมาส 1/62 ราว 22 ล้านบาท และมีการตั้งสำรองตาม พ.ร.บ.แรงงานใหม่ ราว 5 แสนบาท ซึ่งทั้ง 2 รายการเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังยังต้องรอผู้ตรวจสอบบัญชีพิจารณาว่าจะต้องการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ธุรกิจจำหน่ายก๊าซ LPG เพิ่มเติมหรือไม่
"เราตั้งบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ธุรกิจขายก๊าซ ในปทุมธานี และ พิจิตร ไปแล้วราว 22 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่ใช่การตั้งด้อยค่าทั้งหมด ซึ่งหากในปีนี้ผู้ตรวจสอบบัญชีไม่ให้ตั้งเพิ่มเราก็จะมีกำไรอย่างแน่นอน ด้วยงานด้านต่างๆที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเน้นการบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆด้วย"นางสาวนิตา กล่าว
นางสาวนิตา กล่าวว่า ทิศทางรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรก โดยปัจจุบันกลุ่ม TAKUNI มีงานรับเหมาก่อสร้างในมือ (Backlog) รวมทั้งของ บมจ. ซี เอ แซด (ประเทศไทย) (CAZ) ที่เป็นบริษัทย่อย มูลค่าราว 2,344 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ภายในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท โดยงานรับเหมาก่อสร้างมีสัดส่วนเป็นรายได้หลักของกลุ่ม TAKUNI ราว 70% ของรายได้ทั้งหมด
ขณะที่บริษัทยังคงเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เน้นงานเกี่ยวเนื่องในกลุ่มปิโตรเคมีและพลังงาน ซึ่งปัจจุบันไดยื่นประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ไปแล้ว 1-2 โครงการ คาดว่าจะรู้ผลการประมูลในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปี 63 และยังมีโครงการอื่นๆ ของลูกค้าเดิมที่อาจจะมีการจ้างงานเพิ่มเติมด้วย
ส่วนที่เหลือราว 30% เป็นสัดส่วนรายได้ที่มาจากการจำหน่ายก๊าซ LPG ซึ่งปีนี้ยังมีปริมาณการขายทรงตัวที่ 30,000-40,000 ตัน และรายได้จากธุรกิจทดสอบความปลอดภัยก็ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง