ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิ BGRIM วงเงินไม่เกิน 8 พันลบ.ที่ "BBB+" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 30, 2019 14:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.บี. กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ที่ระดับ "A" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วย

ขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัทในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทและหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ของบริษัทที่ระดับ "BBB+" ด้วย โดยหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอยู่ 2 ระดับ เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีลักษณะการด้อยสิทธิและผู้ออกตราสารสามารถเลื่อนการชำระดอกเบี้ยพร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายของหุ้นกู้ได้

จากลักษณะของหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าว ซึ่งมีความด้อยสิทธิ ความสามารถในการเลื่อนชำระดอกเบี้ยตามดุลยพินิจของบริษัท การห้ามไถ่ถอนหุ้นกู้ในช่วง 5 ปีแรก และมีอายุตราสารที่ยาวนาน ทำให้ทริสเรทติ้งกำหนดให้หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทมีระดับความเป็นทุนระดับปานกลาง (Intermediate Equity Content)

ดังนั้น ในการคำนวณอัตราส่วนทางการเงินของบริษัท ทริสเรทติ้งพิจารณา 50% ของเงินต้นคงค้างของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนเป็นทุน และอีก 50% เป็นเงินกู้และระดับความเป็นทุนของตราสารหนี้จะถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับความเป็นทุนน้อย (0%, Minimal Equity Content) ในวันครบกำหนด 5 ปีนับจากวันออกหุ้นกู้ เนื่องจากอายุคงเหลือจริง (Remaining Effective Maturity) ณ วันดังกล่าวน้อยกว่า 20 ปี

ทั้งนี้ ตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของทริสเรทติ้งนั้นอายุคงเหลือจริงของตราสารจะลดลงเมื่อมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเท่ากับหรือมากกว่า 100 Basis Points (bps) ซึ่งในกรณีของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทนั้น กรณีดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อหุ้นกู้ครบกำหนด 25 ปีนับจากวันที่ออกหุ้นกู้

นอกเหนือจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนดสิทธิฯ ของหุ้นกู้ เช่น การเปลี่ยนแปลงในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล การเปลี่ยนแปลงในหลักการทางบัญชี หรือการเปลี่ยนแปลงในหลักเกณฑ์การพิจารณาของสถาบันจัดอันดับเครดิตในเรื่องของความเป็นทุนของหุ้นกู้แล้ว บริษัทมีความประสงค์ (แต่ไม่ผูกพันให้ต้องดำเนินการ) ที่จะชำระคืนเงินต้นของหุ้นกู้ที่ไถ่ถอนหรือซื้อคืนด้วยตราสารทุนที่เท่าเทียมกันหรือดีกว่า

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งอาจจะลดระดับความเป็นทุนของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่จะออกใหม่และที่คงค้างสู่ระดับความเป็นทุนน้อยจากระดับความเป็นทุนปานกลางหากทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติให้แตกต่างจากข้อผูกพันเรื่องการออกหลักทรัพย์เพื่อทดแทนหุ้นกู้ในข้อกำหนดสิทธิฯ ดังกล่าว

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนที่บริษัทได้รับจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการกระจายตัวหลากหลายของโรงไฟฟ้าและผลงานในการบริหารโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Cogeneration Power Plant) ของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากการที่โครงสร้างทางการเงินของบริษัทมีหนี้สินอยู่ในระดับสูงในช่วงที่บริษัทกำลังขยายกำลังการผลิต

สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 บริษัทมีผลการดำเนินงานสอดคล้องกับที่ทริสเรทติ้งประมาณการ รายได้สำหรับช่วงดังกล่าวเท่ากับ 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.5% จากช่วงเดียวกันของปี 2561 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย เท่ากับ 5.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 4.6 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2561

สาเหตุที่รายได้และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นมาจากการเริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า 12 แห่งและการซื้อหุ้นจำนวน 51% ของ บริษัท บี.กริม ยันฮี โซลาร์ เพาเวอร์ จำกัด และการซื้อหุ้นทั้งหมดของ บริษัท โกลว์ เอสพีพี 1 จำกัด บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วเท่ากับ 4.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 4.8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2561 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้ว เท่ากับ 5 เท่า ปรับตัวดีขึ้นจาก 5.2 เท่า ณ สิ้นปี 2561

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าของบริษัทจะเป็นไปอย่างราบรื่นและจะสร้างกระแสเงินสดได้ตามคาด แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถจัดการบริหารโครงสร้างเงินทุนให้สอดคล้องตามนโยบายบริษัทที่กำหนดให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนทุนต้องน้อยกว่า 2 เท่า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถขยายกำลังการผลิตได้โดยสามารถควบคุมโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งอยู่ได้ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากโครงสร้างทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งเป็นผลมาจากการขยายกำลังผลิตอย่างมากด้วยการลงทุนขนาดใหญ่โดยการก่อหนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ