นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยไตรมาสสุดท้ายของปี 62 คาดว่า น่าจะแกว่งตัวขึ้น โดยมีปัจจัยผลักดันมาจากในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ย.ที่จะถึงนี้ ทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนตลาดทุนกับตราสารหนี้มีมากขึ้น เป็นแรงหนุนต่อ Earning Yield Gap ขึ้นมาที่ 4.68% สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังที่ 4.28% ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นน่าสนใจมากขึ้น และมีโอกาสเห็นเงินทุนโยกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น
อีกทั้งยังมีแรงหนุนจากผลประกอบการไตรมาส 3/62 ของบริษัทจดทะเบียนที่จะออกมา ซึ่งคาดว่าฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2/62 ซึ่อคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/62 จะรวมอยู่ที่ 2.5 แสนล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยมีโอกาสถูกปรับเพิ่มอันดับเครดิตเรตติ้งขึ้น 1 ขั้นเป็น Upper Medium Grade ซึ่งจะเป็นแรงหนุนตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4/62
ขณะที่ปัจจัยกดดันจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังยืดเยื้อต่อไป ยังคงมีน้ำหนักกดดันเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้ รวมถึงกรณีที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) แบบ No deal ที่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นไทยในตลาดได้สะท้อนปัจจัยลบทั้งสองประเด็นไปพอสมควรแล้ว
ด้านเป้าหมาย SET Index ในสิ้นปี 62 ยังคงเป้าหมายอยู่ที่ 1,655 จุด อิง PER เหมาะสมที่ 16.45 เท่า จากฐานแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 62 ที่ 9.99 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 100.64 บาท โดยที่เป้าหมาย SET Index ในสิ้นปี 62 จะมีการ Upside จากปัจจุบันราว 1-2% ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนเน้นไปที่หุ้นพื้นฐานดี แต่ราคายัง Underperform ตลาด
โดยหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแรงและมี Valuation ถูกกลุ่มแรก ที่บล.เอเซีย พลัส แนะนำเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลสูง (High Dividend Yield) ได้แก่ PTTEP, LH และ SPALI และยังมีหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คือ BBL ที่ควรหาจังหวะเข้าซื้อหลังงบไตรมาส 3/62 รวมไปถึงหุ้นที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้แก่พอร์ต เช่น JWD และ PLANB