นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บล.กสิกรไทย คาดการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/62 จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,590-1,687 จุด โดยมีค่าเฉลี่ย Earning Yield gap ที่ SD0.25 ซึ่งยังคงต้องติดตามปัจจัยหลักคือ สงครามทางการค้าระหว่างจีน และสหรัฐ ที่ตัวแทนการค้าของทั้งสองฝ่ายจะกลับมาเจรจาการค้าอีกครั้งในวันที่ 10 ต.ค. โดยเชื่อว่าจะบรรลุข้อตกลงย่อยออกมาได้
ในส่วนของนโยบายทางการเงินในประเทศ เชื่อว่ามีโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดำเนินนโยบายเชิงผ่อนคลาย หลังจากที่สหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน รวมไปถึงธนาคารกลางในภูมิภาคเข้าสู่วัฎจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทยอาจต่ำกว่า 2.5% จากปัจจุบันที่ยังประเมินว่าเติบโตได้ 2.8% โดยยังคงต้องติดตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ของภาครัฐที่ออกมาว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง
สำหรับธีมการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี มองหุ้นในกกลุ่ม ICT คือ DTAC และ TRUE ที่ได้ปัจจัยบวกจากการเติบโตของรายได้และกำไรธุรกิจหลักแข็งแกร่งในครึ่งปีหลัง หลังจากบรรยากาศการแข่งขันในตลาดเป็นเชิงบวก เห็นได้จากรายได้เฉลี่ยต่อหมายเลขที่ปรับตัวสูงขึ้น การอุดหนุนค่าเครื่องมือถือที่ลดลง และการควบคุมต้นทุนการตลาดได้ดี
กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเกณฑ์ใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่กำหนดให้เรือเดินสมุทรใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำ 0.5% จากเดิม 3.5% มีผลตั้งแต่ต้นปี 63 ได้แก่ TOP PRM BGC TASCO ปัจจัยบวกจากการเปลี่ยนแปลงด้านการใช้เชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมขนส่งทางเรือของโลก
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ AP SPALI แรงหนุนจากโอกาสในการผ่อนคลายมาตรการอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดของโรค AFS คือ CPF GFPT มีแรงหนุนจากการส่งออกเนื้อไก่ไปจีน และราคาหมูที่สูงขึ้นในเวียดนาม และกลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน JASIF TFFIF ปัจจัยบวกจากสภาพอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และโอกาสที่จะได้รับการอัดฉีดทรัพย์สินใหม่
นายภาสกร กล่าวอีกว่า นโยบายการลงทุนสำหรับกองทุนหุ้นยั่งยืน (SEF) ที่จะมาทดแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จะสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่เกิน 30% แต่ไม่เกิน 250,000 บาท จากเดิมที่กองทุน LTF สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 15% แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยคาดว่ากระแสเงินสดจะไหลเข้ากองทุน SEF ราว 29,500 ล้านบาท ต่ำกว่ากองทุน LTF ที่ 34,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่ากระแสเงินสดจะค่อย ๆ ไหลเข้าและเท่ากับกองทุน LTF ได้ เนื่องจากคนกลุ่มดังกล่าวมีการเติบโตได้รวดเร็ว