ทิสโก้ มอง SET โค้งสุดท้ายของปีสดใส ขาลงเริ่มจำกัด-สภาพคล่องทั่วโลกหนุน ,เม็ดเงิน LTF-RMF ไหลเข้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 7, 2019 07:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในงานสัมมนา TISCO Monthly Guru Updates ว่า ในเชิงเทคนิคคาดว่าจากนี้จนถึงสิ้นปี 2562 ดัชนีหุ้นไทยจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนไปถึงเป้าหมายปลายปีที่ 1,680 จุดได้ เนื่องจากความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นเริ่มมีจำกัด หลังจากที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง 3 เดือนติดกัน ขณะที่ในไตรมาส 4/2562 จะเริ่มมีสภาพคล่องจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสำคัญๆ ไหลเข้าสู่ระบบ รวมถึงยังเป็นช่วงที่จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มากที่สุดด้วย

"ไตรมาสที่ 4 เป็นไตรมาสที่มีข่าวดีรออยู่มาก โดยเฉพาะสภาพคล่องที่จะมีเพิ่มขึ้นในระบบ ทั้งจากการหยุดลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และนักลงทุนยังคาดว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ อีกทั้ง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังกลับมาทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เดือนละ 2 หมื่นล้านยูโรแบบยังไม่กำหนดวันสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป" นายวิวัฒน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ถึงปริมาณเงินที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ในช่วงไตรมาส 4/2562 คาดว่าจะปรับตัวลดลงจากปีก่อนๆ โดยประเมินว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากไตรมาส 4/2561 ที่มีเม็ดเงินเข้ามาประมาณ 5.3 หมื่นล้านบาท และไตรมาส 4/2560 ที่มีเม็ดเงินเข้ามา 5.2 หมื่นล้านบาท เพราะนักลงทุนเป็นกังวลเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจในระยาว ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนระหว่างการลงทุนในช่วง 7 ปีปฏิทินของกองทุน LTF และการลงทุนในระยะยาวของ RMF ได้ ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้นักลงทุนอาจตัดสินใจแบ่งเงินเข้ามาลงทุนใน LTF และ RMF ในสัดส่วนที่น้อยลง และหันไปใช้วิธีอื่นในการช่วยลดหย่อนภาษีแทน

สำหรับหุ้นเด่นแนะนำไปจนถึงสิ้นปี 2562 แบ่งออกเป็น 3 ธีม ได้แก่ 1.หุ้นพื้นฐานดี แต่ในรอบ 2-4 ปีราคาปรับลงมาต่ำสุด ได้แก่ BBL, KBANK, SCB และ SPALI 2.หุ้นรับมาตรการรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ AOT, CPALL, BJC, AMATA, WHA และ ROJNA 3.หุ้นกำไรดีไตรมาส BEM, ERW, SEAFCO, TRUE และ TU

นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจัดพอร์ตการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง และมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2563 ส่วนตัวแนะนำให้ทยอยเข้าซื้อทองคำ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเศรษฐกิจขาลง โดยควรรอจังหวะที่ราคาทองย่อตัว ซึ่งคาดว่าจะเกิดในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 เพราะเป็นช่วงที่สภาพคล่องทั่วโลกเพิ่มขึ้น มองราคาทองคำโลกย่อตัวลงที่ 1,440 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ เป็นจังหวะเข้าซื้อ และรอขายในปี 2563 ที่คาดว่าราคาทองคำจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 1,650 - 1,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์

ขณะที่การลงทุนในตลาดทองคำไทยแนะนำให้เข้าซื้อเมื่อราคาลงไปอยู่ที่บาทละ 21,400 บาท และคาดว่าปี 2563 ราคาทองคำในประเทศจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่บาทละ 23,200 - 24,000 บาท โดยได้รับแรงหนุนจากเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่า และราคาทองคำโลกปรับเพิ่มขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ