บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ที่ระดับ "BBB+"และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัทที่ระดับ "A-"
ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 8,500 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB+" ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระหนี้เงินกู้ยืมที่จะครบกำหนด และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่ดีของบริษัทซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้นำในธุรกิจให้บริการโทรคมนาคมที่ครบวงจรด้วยการมีโครงข่ายที่ครอบคลุมทั้งในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband Internet) อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือเครือเจริญโภคภัณฑ์และ China Mobile International Holdings Ltd. (China Mobile) จะยังคงให้การสนับสนุนแก่บริษัทอย่างต่อเนื่องต่อไปอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังมีปัจจัยกดดันจากภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจหลัก
ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องในขณะที่ทรูออนไลน์เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 รายได้จากการให้บริการของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม (Interconnection Charge -- IC) อยู่ที่ 3.86 หมื่นล้านบาท เติบโต 6.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 2% ในส่วนของทรูออนไลน์นั้น รายได้จากบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงลดลง 2.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 1.24 หมื่นล้านบาท
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการรวมเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี รายได้รวม (ไม่รวมการขายสินทรัพย์ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัล -- Digital Telecommunications Infrastructure Fund, DIF) ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 6.79 หมื่นล้านโดยมีสาเหตุหลักจากรายได้ค่าเช่าโครงข่ายและรายได้จากการขายสินค้าที่ลดลง บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA )ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท ภาระหนี้ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูง บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 6.1 เท่า (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) และมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 12.2% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความแข็งแกร่งของสถานะทางการตลาดเอาไว้ได้และจะมีผลการดำเนินงานที่ดีในกลุ่มธุรกิจหลักซึ่งได้แก่ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมทั้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นหลักของบริษัททั้ง 2 รายคือเครือเจริญโภคภัณฑ์และ China Mobile ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนคุณภาพเครดิตของบริษัท
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทมีจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากฐานะการเงินของบริษัทในปัจจุบันซึ่งมีภาระหนี้สูง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นและลดความเสี่ยงจากภาระทางการเงินที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงจนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ในระดับเกินกว่า 7 เท่าอย่างต่อเนื่อง
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านกฎหมายต่าง ๆ ที่มีมาแต่ในอดีต เช่น ประเด็นเรื่องส่วนแบ่งรายได้ หรือการประเมินภาษีสรรพสามิต น่าจะยังต้องใช้เวลากว่าที่จะมีผลสิ้นสุด โดยที่อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับแรงกดดันในทางลบหากผลสรุปของคดีความมีผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัท