นายวิชัย ทองแตง นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ขณะนี้ให้ความสนใจกับการลงทุนในสตาร์ทอัพธุรกิจเทคโนโลยี เนื่องจากมองว่าในอนาคตโลกคงมีความเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันผลตอบแทนจากการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพยังสูงกว่าการลงทุนในหุ้น 20 เท่าด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพไปมากกว่า 10 บริษัท และมี 3 บริษัทที่อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
หลักพิจารณาลงทุนในสตาร์ทอัพ ประกอบด้วย 2G คือ Growth เริ่มตั้งต้นและมีโอกาสการเติบโตได้ และ Gain สามารถแปรไอเดียเป็นรูปแบบธุรกิจได้ ไม่งั้นจะไร้ค่าสำหรับนักธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุน ขณะที่งบลงทุนไม่ได้มีการกำหนดไว้ หากบริษัทนั้นเป็นธุรกิจที่ใช่ก็จะลงทุนโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีขอบเขต และไม่มีข้อกำหนด
นอกจากนี้ ยังสนใจในเรื่องของ Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ป้องกันความเสี่ยงที่ดีที่สุด เนื่องจากให้ความสำคัญกับความเสี่ยงในการทำธุรกิจเป็นอันดับแรก หากมีบริษัทใด หรือผู้พัฒนา Blockchain รายใด มีความน่าสนใจก็พร้อมที่จะทุ่มสุดตัว
"แน่นอนว่าสตาร์ทอัพมีความเสี่ยงที่จะประสบความสำเร็จ หรือ มีเพียง 1 ใน 10 บริษัทที่จะประสบผลสำเร็จ แต่เราในฐานะผู้ลงทุน และมีประสบการณ์ด้านการบริหาร เราสามารถเข้าไปช่วยเขาได้ ในการชี้แนะ แนะนำ ซึ่งก็จะทำให้สตาร์ทอัพจากประสบความสำเร็จน้อยราย เป็นประสบความสำเร็จได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการช่วยสนับสนุนสตาร์ทอัพ ในการสร้างมิติใหม่ให้กับประเทศด้วย"นายวิชัย กล่าว
ส่วนการลงทุนในหุ้นนั้น นายวิชัย กล่าวว่า ยังคงเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากมีหลายบริษัทที่สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับปัจจัยภายนอกประเทศ แต่ก็ยังเติบโตได้ดี โดยมองกลุ่มที่น่าสนใจ คือ กลุ่มอิงกับภาครัฐ เนื่องจากที่ผ่านมาตนเองได้มีการอ่านแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งก็มีทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ แต่การลงทุนขนาดใหญ่ต้องตามให้ทัน
นายวิชัย ยังกล่าวในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) ว่า สำหรับการเพิ่มทุนจำนวน 8,054.12 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 0.75 บาท ของ EFORL ในครั้งนี้ แม้มองว่าราคาพาร์ดังกล่าวจะแพงกว่าในอดีต แต่ก็จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสิทธิเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และเพื่อให้ EFORL ไปต่อยอดธุรกิจได้