นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เปิดเผยว่า บริษัทปรับปรุงโครงสร้างการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาดจีน โดยแต่งตั้งบริษัท โอริออน คอร์ป (Orion Crop.) ในประเทศจีน ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ โอริออนกรุ๊ป (Orion Group) ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีนแต่เพียงผู้เดียว จากเดิมที่มีตัวแทนจัดจำหน่าย (Distributor) รวม 3 ราย ทั้งนี้ เพื่อการดำเนินงานเป็นระบบมากขึ้น เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อยอดขายในจีนให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องมากกว่าปีละ 30% จากปัจจุบันที่มียอดขายอยู่ราว 2,000 ล้านบาทต่อปี และยอดขายในตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วน 40% ของยอดขายทั้งหมด
สำหรับโอริออน กรุ๊ป (Orion Group) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวมานานกว่า 70 ปี โดยการเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าในหลายประเทศ ด้วยมาตรฐานการผลิตและระบบบริหารจัดการที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยมีฐานการผลิตและเครือข่ายการจัดจำหน่ายขนาดใหญ่ในจีนกว่า 30 ปี จะช่วยให้บริษัทได้รับประโยชน์ในด้านข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค ข้อมูลตลาดสินค้า และช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศจีนมากยิ่งขึ้น โดยมูลค่าตลาดขนมของจีนที่สูงถึง 3 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ โอริออน กรุ๊ป ยังมีตลาดหลักอยู่ในเกาหลี ซึ่งปัจจุบัน TKA ก็อยู่ระหว่างการทำแผนการตลาด และศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์ที่มีความเหมาะสม คาดว่าจะได้ข้อสรุปและส่งสินค้าไปจำหน่ายได้ในช่วงปลายไตรมาส 4/62 หรืออย่างช้าต้นปี 63 พร้อมกันนี้ยังมีตลาดรัสเซีย ที่บริษัทได้เริ่มเข้าไปศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค และคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายสินค้าได้ในช่วงต้นปี 63
"โอริออน กรุ๊ป เป็นบริษัทที่มีตลาดครอบคลุมอยู่ในหลายประเทศ โดยมีประเทศหลักคือ จีน เกาหลี และรัสเซีย ซึ่งเราจะมีการศึกษากลุ่มลูกค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสมจากข้อมูลที่ได้มาจาก โอริออน กรุ๊ป ซึ่งเราเชื่อว่าจะช่วยให้เราเร่งการเติบโตและเข้าไปสู่เป้าหมายยอดขายที่ 10,000 ล้านบาทได้ในปี 67"นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังได้ตั้งทีมการตลาดในประเทศสหรัฐฯ เพื่อศึกษาและขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายในตลาดสหรัฐราว 5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งคาดว่าจะเป็นตลาดที่สนับสนุนการเติบโตหลักต่อจากตลาดจีน
พร้อมกันนี้ บริษัทยังเตรียมแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่องภายในระยะเวลา 2 ปีนี้ ทั้งในกลุ่มสินค้าประเภทสาหร่ายจำนวน 4 รายการ และอีก 3-4 รายการเป็นผลิตภัณฑ์นอกกลุ่มสาหร่าย ซึ่งแผนงานทั้งหมดเชื่อว่าจะเข้ามาช่วยสนับสนุนให้บริษัทเกิด New S-Curve ในช่วงต่อไป ขณะที่โรงงานในปัจจุบันทั้ง 2 แห่ง มีกำลังการผลิตรวม 12,000 ตันต่อปี มีอัตราการใช้กำลังการผลิตราว 60% สามารถรองรับการเติบโตของยอดขายได้อีก 3,000-4,000 ล้านบาท
"New S-Curve ใหม่ของบริษัทนอกจากประเทศจีนแล้ว ยังมีตลาดในสหรัฐ และการเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยการเติบโตด้วย ด้วยการศึกษากลุ่มลูกให้ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าได้รวดเร็ว และเป็นสินค้ามีนวัตกรรม"นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
นายอิทธิพัทธ กล่าวอีกว่า บริษัทยังพร้อมเปิดกว้างหากมีพันธมิตรรายใหม่สนใจเข้ามาถือหุ้นเพื่อร่วมธุรกิจ หากสามารถช่วยให้ยอดขายของบริษัทปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่ม"พีระเดชาพันธ์"ยังยืนยันที่จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ต่ำกว่า 51% เพื่อที่จะยังคงรักษาสิทการบริหารและการตัดสินใจที่เด็ดขาด โดยปัจจุบันถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 58%