บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารธนชาต (TBANK) ที่ระดับ "AA-" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคารที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตของธนาคารธนชาตสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับสถานะทางเครดิตของธนาคาร โดยไม่ได้พิจารณาถึงแผนการรวมกิจการระหว่าง ธนาคารทหารไทย (TMB) และธนาคารธนชาต ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งได้ประกาศเครดิตวาระของธนาคารธนชาตที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2562
จากแผนของธุรกรรมที่ประกาศสู่สาธารณชน คาดว่าธุรกรรมการซื้อหุ้นเพิ่มจะดำเนินการสิ้นสุดภายในเดือนธันวาคม 2562 ซึ่งหลังจากการซื้อหุ้นดังกล่าว ธนาคารธนชาตและธนาคารทหารไทยจะยังคงดำเนินการในรูปแบบ 2 ธนาคารภายใต้คณะกรรมการและผู้บริหารชุดเดียวกัน จนกระทั่งสิ้นสุดการถ่ายโอนธุรกิจทั้งหมดไปอยู่ที่ธนาคารทหารไทยในสิ้นปี 2564 ในมุมมองของทริสเรทติ้ง ผลประโยชน์ในด้านสินทรัพย์ และแหล่งเงินทุนจากการรวมกิจการจะสามารถเป็นปัจจัยเสริมให้กับธนาคารธนชาตและธนาคารทหารไทยได้ในระยะยาว
อันดับเครดิตในปัจจุบันสะท้อนถึงความเข้มแข็งในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ตลอดจนฐานทุนและรายได้ที่แข็งแรง แหล่งรายได้ที่หลากหลาย และคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งของธนาคาร ถึงแม้ว่าแหล่งเงินทุนจากลูกค้ารายย่อยจะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่อันดับเครดิตของธนาคารยังคงมีข้อจำกัดจากฐานเงินฝากที่มีขนาดปานกลางและต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับสูง
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มุ่งเน้นสินเชื่อรถยนต์อย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งประเมินว่าธุรกิจของธนาคารธนชาตสะท้อนถึงธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางที่มุ่งเน้นธุรกิจกลุ่มลูกค้ารายย่อยและมีความแข็งแกร่งในธุรกิจการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ โดยคาดว่าธุรกิจลูกค้ารายย่อยของธนาคาร โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจและรายได้หลักของธนาคาร สัดส่วนของผลกำไรสุทธิจากธุรกิจลูกค้ารายย่อยอยู่ที่ระดับ 54% ของผลกำไรรวมในปี 2561 ในขณะเดียวกัน ธนาคารธนชาตยังดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ การบริหารกองทุน ประกันวินาศภัย และบริหารสินทรัพย์ผ่านบริษัทลูกต่าง ๆ อีกด้วย โดยธุรกิจดังกล่าวมีสัดส่วนของกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับประมาณ 15%
ปัจจัยเกื้อหนุนความแข็งแกร่งในด้านสินเชื่อรถยนต์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องของธนาคารคือแพลตฟอร์มการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ที่ครบวงจรและการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ทั่วประเทศ ธนาคารธนชาตมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถยนต์ที่หลากหลาย มีการให้กู้ยืม (ไฟแนนซิ่ง) สำหรับพาหนะเฉพาะประเภทที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ รวมถึงการให้สินเชื่อแก่ตัวแทนจำหน่ายและเต็นท์รถยนต์ นอกจากนี้ ธนาคารยังเสนอขายประกันภัยรถยนต์ผ่านบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจประกันภัย และผ่านช่องทางนายหน้าประกันภัยอีกด้วย
ธนาคารธนชาตยังคงปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มากที่สุดเป็นอันดับ 1 จากฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง ซึ่งเมื่อรวมกับ บมจ. ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) แล้วส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ระดับ 23% ในปี 2561
ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ผลักดันผลประกอบการ ทริสเรทติ้งคาดว่าสินเชื่อรถยนต์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจะเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันผลประกอบการของธนาคาร โดยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีสัดส่วน 57% ของเงินกู้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 และทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะยังคงเพิ่มสูงขึ้น ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยของธนาคารมาจากค่าธรรมเนียมจากการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ และรายได้จากธุรกิจประกันภัย ซึ่งประกอบด้วยการรับประกันและการขายประกันภัยรถยนต์
ดังนั้น สินเชื่อรถยนต์ที่ขยายตัวในช่วงปีที่ผ่านมาจึงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนหลักให้กับผลประกอบการของธนาคาร อัตราการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ขยายตัว 4.4% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 และ 13.4% ในปี 2561 หลังจากมีการเติบโตที่ติดลบอย่างต่อเนื่องถึงปี 2559 รายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย และรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ทริสเรทติ้งยังพิจารณาถึงแหล่งที่มาของรายได้อื่น ๆ ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของธรุกิจของธนาคารอีกด้วย ซึ่งได้แก่ ค่าธรรมเนียมการบริการกองทุน บัตรเครดิต การซื้อขายหลักทรัพย์ และจากการทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้จากการรับประกันสุทธิรวมทั้งหมดอยู่ที่ระดับประมาณ 22% ของรายได้รวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทย อย่างไรก็ตาม สภาพการแข่งขันที่ท้าทายของธุรกิจดังกล่าวส่งผลกระทบต่อค่าธรรมเนียมบางรายการที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา
เงินกองทุนแข็งแรง ทริสเรทติ้งประมาณการว่าธนาคารธนชาติจะยังคงรักษาอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (Core Equity Tier-I: CET-1) ในระดับ 15%-16% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า โดยพิจารณาจากอัตราการขยายตัวของสินเชื่อที่ระดับ 5% และการปันผลที่ระดับ 45% สำหรับครึ่งแรกของปี 2562 อัตราส่วน CET-1 ที่ระดับ 15.9% ถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
ผลกำไรดีพอสมควร ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารธนชาตจะสามารถสร้างผลกำไรในระดับที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ไทยได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับช่วง 2 ปีก่อน ต้นทุนทางเครดิตที่อยู่ในระดับต่ำและผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อในระดับค่อนข้างสูงส่งผลให้ผลกำไรจากดอกเบี้ยสุทธิหลังหักจากหักต้นทุนทางเครดิตอยู่ในเกณฑ์ดี ในขณะที่ธนาคารสามารถสามารถคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการได้ดี อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งได้พิจารณาถึงปัจจัยกดดันต่อต้นทุนทางเครดิตที่เพิ่มสูงขึ้นจากคุณภาพสินทรัพย์ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และอัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้สูญต่อเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทย
อัตราส่วนผลตอบแทนก่อนหักภาษีต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของธนาคารที่ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับ 1.8% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 อยู่ในเกณฑ์ดีเทียบกับธนาคารพาณิชย์ไทย ทริสเรทติ้งเปรียบเทียบผลตอบแทนก่อนหักภาษีกับผลการดำเนินการของธนาคารที่ผ่านมา เนื่องจากผลประโยชน์ทางภาษีของธนาคารได้ใช้หมดไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2561 ผลกำไรจากดอกเบี้ยสุทธิหลังหักจากหักต้นทุนทางเครดิตก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 2.75% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 จากต้นทุนทางเครดิตซึ่งอยู่ในระดับต่ำที่ 0.5%-0.6% ตั้งแต่ต้นปี 2561 เป็นต้นมา ประสิทธิภาพในการดำเนินซึ่งวัดโดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 47.5% ในปี 2561 ใกล้เคียงกับธนาคารพาณิชย์อื่นที่มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้ารายย่อย เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในขณะที่สินเชื่อและรายได้รวมขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2560 และ 2561
คุณภาพสินทรัพย์น่าจะยังคงบริหารจัดการได้ ทริสเรทติ้งประเมินว่าธนาคารน่าจะสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในเกณฑ์ดีได้ในช่วง 2 ปีข้างหน้าจากการบริหารความเสี่ยงที่ระมัดระวัง การก่อตัวของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อรวม รวมตัดหนี้สูญ อยู่ในระดับใกล้เคียงกับธนาคารพาณิชย์ไทยที่ระดับ 0.9% ในปี 2561 การที่ธนาคารธนชาตสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อรวมให้อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำที่ 2.29% ได้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้นั้น เนื่องจากการตัดหนี้สูญอย่างต่อเนื่องของสินเชื่อรายย่อย
แม้กระนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารธนชาตจะมุ่งเน้นธุรกิจที่ยังคงให้ผลตอบแทนหลังปรับค่าความเสี่ยงในเกณฑ์ดีและมีศักยภาพในการเติบโตมากขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ในขณะเดียวกัน ธนาคารธนชาตน่าจะลดการมุ่งเน้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ลงเนื่องจากแนวโน้มลดลงของราคารถยนต์มือสองและสัญญาณการด้อยลงของคุณภาพสินทรัพย์ที่ชัดเจนขึ้น การปล่อยกู้ให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมก็น่าจะลดลงเช่นเดียวกัน เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว
ทริสเรทติ้งยังคาดว่าธนาคารน่าจะตั้งสำรองเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2561 โดยประมาณการต้นทุนทางเครดิตเต็มปีที่ระดับ 60-70 จุด อัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้สูญต่อเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ระดับ 116% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์อื่น
ต้นทุนทางการเงินสูงสะท้อนถึงลักษณะของสินทรัพย์ ในมุมมองของทริสเรทติ้ง ธนาคารธนชาตมีธุรกิจเงินฝากขนาดปานกลางด้วยส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 6% ด้วยต้นทุนทางการเงินที่ค่อนข้างสูง จากมุมมองของการจัดอันดับเครดิต ความสามารถในการขยายฐานเงินฝากในบัญชีเดินสะพัดและเงินฝากออมทรัพย์ (Current Account-Savings Account – CASA) ในขณะที่ลดต้นทุนทางการเงินลงได้นั้นจะเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของธนาคาร ทริสเรทติ้งยังมองว่าต้นทุนทางการเงินในระดับสูงนั้นส่วนหนึ่งสะท้อนถึงลักษณะของสินทรัพย์ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งประกอบด้วยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ เงินฝากประจำต้นทุนสูงและเงินกู้ยืมสูง ทำให้ธนาคารมีสัดส่วนของแหล่งเงินทุนรวมในระดับที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ไทยบางธนาคาร ต้นทุนทางการเงินของธนาคารธนชาตอยู่ที่ระดับ 1.9% ในช่วงในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยที่ระดับ 1.6% การลดลงของต้นทุนทางการเงินของธนาคารอย่างต่อเนื่องในระหว่าง 2-3 ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นแนวโน้มเดียวกันกับธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ
ธนาคารธนชาตให้ความสำคัญกับการขยายฐานเงินฝากจากกลุ่มลูกค้ารายย่อย ซึ่งในปี 2561 มีอัตราการขยายตัวของเงินฝากสูงถึง 5.9% จากแคมเปญเงินฝากตอกเบี้ยสูงภายใต้ชื่อ "อัลตร้าเซฟวิ่งส์" อัตราส่วนบัญชีเดินสะพัดและเงินฝากออมทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 49% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 จากระดับ 43% ณ สิ้นปี 2560 ถึงแม้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยที่อยู่ที่ระดับ 60% แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์อื่นที่เน้นปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
สภาพคล่องเพียงพอ ทริสเรทติ้งประเมินสภาพคล่องของธนาคารธนชาตว่าอยู่ในระดับเพียงพอ สัดส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องสำหรับใช้รองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio -- LCR) อยู่ที่ระดับ 123% ณ สิ้นปี 2561 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 90% แต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยที่ระดับ 184% อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อเงินฝากก็อยู่ในระดับสูงพอที่ 36% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562
อันดับเครดิต "A" สำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคารธนชาตสะท้อนความเสี่ยงจากการด้อยสิทธิและความเสี่ยงในการไม่จ่ายหนี้ตามเงื่อนไขการรองรับผลขาดทุนเมื่อธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ตราสารหนี้ดังกล่าวนี้มีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ Basel III และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2
หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 คงเหลือของธนาคารประกอบไปด้วย TBANK25NA โดยหุ้นกู้มีลักษณะด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ไม่สามารถเลื่อนชำระดอกเบี้ย และมีข้อกำหนดให้สามารถตัดเป็นหนี้สูญ (ทั้งจำนวนหรือบางส่วน) ในกรณีที่ทางการเห็นว่าธนาคารไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้และตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลือทางการเงินแก่ธนาคาร
ธนาคารยังสามารถไถ่ถอนตราสารหนี้ชุดดังกล่าวคืนได้ทั้งจำนวนก่อนวันครบกำหนดภายหลังระยะเวลา 5 ปีนับจากวันที่ออกตราสารโดยได้รับความเห็นชอบจาก ธปท. แล้ว ในกรณีนี้ ผู้ถือตราสารประเภทนี้มีสิทธิที่ด้อยกว่าผู้ฝากเงินและผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ต่อไปนี้คือสมมติฐานที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ในระหว่างปี 2562-2564
อัตราการเติบโตของสินเชื่อจะอยู่ที่ระดับประมาณ 5%
ต้นทุนทางเครดิตจะอยู่ที่ระดับประมาณ 60-70 จุด
อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.5%
อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ จะอยู่ที่ระดับ 15%-16%
อัตรากำไรจากดอกเบี้ยสุทธิหลังจากหักต้นทุนทางเครดิตจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.6%
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าธนาคารธนชาตจะสามารถดำรงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักเอาไว้ได้และจะยังคงรักษาเงินกองทุน ความสามารถในการทำกำไรที่ดี และคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้เช่นกัน
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้โดยขึ้นอยู่กับความสามารถของธนาคารธนชาตในการเพิ่มความหลากหลายของสินเชื่อและธุรกิจอื่นนอกเหนือจากการปล่อยสินเชื่ออย่างมีนัยสำคัญ ตลอดจนเพิ่มความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนและสภาพคล่อง สถานะเครดิตของธนาคารอาจได้รับผลกระทบในทางลบหากคุณภาพสินทรัพย์เสื่อมถอยลงหรือสัดส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของของธนาคารอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ