PRANDA ตั้งเป้าปี 51 รักษากำไรไม่ต่ำกว่าปีก่อน แม้ศก.สหรัฐชะลอ-บาทแข็ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 26, 2008 11:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.แพรนด้า จิวเวลรี่(PRANDA)ตั้งเป้าปี 51 รักษากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่าปีก่อน แม้จะมีปัจจัยลบจากปัญหาซับไพร์มทำให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่เป็นตลาดสำคัญ และแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทอีกราว 1 บาท/ดอลลาร์จากปีก่อน หวังตลาดจีนและอินเดีย รวมทั้งยุโรปเติบโตขึ้นมาเป็นตลาดหลักแทน ทุ่มงบ 70 ล้านบาทขยายแบรนด์ให้ติดตลาดโลก ตั้งความหวังปี 52-55 ฟื้นสู่ปีทองอีกครั้ง
นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการ PRANDA คาดว่า ในปี 51 บริษัทจะมีรายได้ราว 4.3 พันล้านบาท เติบโต 8% จากปี 50 ที่มีรายได้ 4 พันล้านบาท บนสมมติฐานค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 33 บาท/ดอลลาร์ จากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 34 บาท/ดอลลาร์ โดยในปีนี้จะมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 10% ของรายได้ เชื่อกำไรสุทธิจะไม่ต่ำกว่าปี 50 และยังคงรักษามาร์จิ้นได้ 30-35% ใกล้เคียงปีก่อน
ขณะที่รายได้ในรูปเงินดอลลาร์ปี 51 น่าจะเติบโต 5% จากปี 50 ที่มีรายได้ 118 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเติบโต 10% จากปี 49 ภายใต้ความกังวลที่ว่าตลาดสหรัฐได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์ม ขณะที่บริษัทเองก็ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ด้วยการขยายตลาดใหม่ ได้แก่ จีน อินเดีย ที่คาดหวังเติบโตขึ้นมาทดแทนตลาดสหรัฐได้ในอนาคต
พร้อมวางเป้าเพิ่มสัดส่วนขายสินค้าแบรนด์ของตัวเองในสัดส่วน 50% ภายใน 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมียอดขายแบรนด์ตัวเองในสัดส่วน 16% เพื่อปูทางสร้างความมั่นคงทางการตลาดของบริษัทในระยะยาว โดยทุ่มทุนด้านแบรนด์ปีนี้ 70 ล้านบาท
"ตลาดสหรัฐ เราเป็นห่วงเรื่องซับไพร์ม แต่เราขายระดับชนชั้นกลางคิดว่าไม่น่ารับผลกระทบมาก ตอนนี้เราหวังมากในตลาดจีน และ อินเดีย ก็ยอมรับว่าปีนี้โตได้ไม่มาก จากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ยอดขายเราโต 12-15%ในรูปเงินดอลลาร์ แต่ในปี 2009 (2552) จนถึงปี 2012 (2555)จะเป็นปีที่เราปีนป่ายขึ้นมาได้ จะเป็นปีทอง เศรษฐกิจขาลงจะผ่านไป"นายปรีดา กล่าวในงานครบรอบ 35 ปีของบริษัท
นางสุนันทา เตียสุวรรณ์ รองประธานกรรมการบริหาร PRANDA คาดว่ากำไรสุทธิปี 51 จะไม่ต่างจากปี 50 และคาดว่าอัตรากำไรสุทธิ ประมาณที่ 10% ของรายได้ โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ 9-11% โดยปีนี้บริษัทจะรักษามาร์จิ้นไว้ใกล้เคียงปีก่อนที่มี 30-35%
"ตอนนี้เรามีออเดอร์จนถึงเดือนเมษายนแล้ว และสัปดาห์หน้าที่จะมีงานบางกอกจิวเวลรี่แฟร์ ก็คาดวาจะมียอดขายเพิ่มได้ อย่างไรก็ดี ตามวัฎจักรธุรกิจของบริษัท ในครึ่งปีแรกจะมียอดขายสัดส่วน 40% ส่วนครึ่งปีหลังมีสัดส่วน 60% โดยเฉพาะไตรมาส 4 จะดีมาก" นางสุนันทากล่าว
นอกจากนี้ ในปี 51 คาดว่าจะเกิดผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่มากกว่าปี 50 ที่มีผลขาดทุนจำนวน 40 ล้านบาท แม้ว่าที่ผ่านมาจะทำฟอร์เวิร์ด ขายในรูปเงินตราสกุลอื่นเช่น เงินยูโร เงินปอนด์ เพิ่มขึ้น และ ปรับราคาขายทุกไตรมาส ตามอัตราแลกเปลี่ยนและราคาวัตถุดิบ ขณะเดียวกัน บริษัทได้นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ 60% ซึ่งก็เป็นการ natural heage อย่างไรก็ดี บริษัทยังกังวลว่าเงินบาทจะแข็งค่าทะลุ 32 บาท/ดอลลาร์
*ขยายตลาดอินเดีย-จีน เพิ่มความสำคัญทดแทนสหรัฐ
นายปรีดา กล่าวว่า บริษัทจะเพิ่มความระมัดระวังตลาดในสหรัฐมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดหนี้สูญ โดยไม่ได้หวังยอดขายจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ ส่วนยุโรปน่าจะเพิ่มยอดขายได้ แต่ก็ต้องดูว่าจะได้รับผลกระทบปัญหาซับไพร์มมากน้อยเพียงใด เช่นเดียวกับในตลาดเอเชีย ซึ่งบริษัทคาดว่าตลาดจีนและอินเดียจะมีสัดส่วนใหญ่กว่าตลาดสหรัฐภายใน 10 ปีนี้ เพราะมีจำนวนประชากรมาก และเริ่มมีรายได้มากขึ้น
โดยเฉพาะในอินเดีย ซึ่งบริษัทได้รับประโยชน์จากที่ไทยทำข้อตกลงเขตเสรีการค้ากับอินเดีย(FTA) ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีในการนำเข้า ในปีนี้บริษัทจึงวางแผนเพิ่มยอดขายถึง 6 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปีก่อนที่มีเพียงกว่า 4 แสนเหรียญสหรัฐ ด้วยการที่บริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่ายในอินเดีย (PRANDA ถือหุ้น 51%) ตั้งอยู่ในเมืองมุมไบ จะขยายร้าน หรือ แฟรนไชส์เป็นช่องทางจำหน่ายทั่วอินเดีย เป็น 575 แห่ง จากปีก่อนที่มีเพียง 39 ร้าน
ส่วนในจีน คาดว่าจะเพิ่มยอดขายปีนี้ได้เพิ่มเป็น 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปีก่อนที่มียอดขาย 6 แสนเหรียญสหรัฐ และปี 52 ยอดขายจะโตเป็น 2 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปีนี้ PRANDA จะลงทุน 50 ล้านบาท เพื่อเพิ่มทุนในบริษัทย่อยในจีนที่จะเป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการขยายตลาด
ทั้งนี้ ตลาดใหญ่ของบริษัทในปีนี้ยังคงเป็นตลาดสหรัฐ 40% ตลาดยุโรป 35-40% ที่เหลือ 20% เป็นตลาดเอเชีย ได้แก่ จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง เวียดนาม เป็นต้น
*วางฐานสร้างแบรนด์ตัวเอง
นายปรีดา กล่าว่า ในงาน"บาเซิลแฟร์"ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอัญมณีและจิวเวลรี่ใหญ่ในสวิสเซอร์แลนด์ ช่วงเดือนเม.ย.นี้ บริษัทจะเปิดตัวแบรนด์สินค้ากลุ่มแพรนด้าประมาณ 10 แบรนด์ อาทิ Prima Gold, Century Gold, Esse, Cai Jewels, Merii เป็นต้น โดยบริษัทขยายตลาดครอบคลุมทั่วโลก มีโรงงานและตัวแทนจัดจำหน่าย 14 ประเทศ แต่ละแบรนด์เจาะเฉพาะสินค้าและในแต่ละตลาด
"เราตั้งเป้าภายใน 5 ปีจะเพิ่มสัดส่วนขายสินค้าเครื่องประดับในแบรนด์ของเราเอง เป็น 50% เพื่อความมั่นคงในระยะยาวของบริษัท" นายปรีดากล่าว
ในระยะที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทแพรนด้าได้สั่งสมประสบการณ์ในการออกแบบและผลิตสินค้าให้กับแบรนด์เนมที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายรายจนเป็นที่ยอมรับ ขณะเดียวกันก็พัฒนาแบรนด์ของตัวเองซึ่งจากนี้ก็จะทำการตลาดสินค้าแบรนด์ตัวเองมากขึ้น
"เราจะเป็น stake holder focus คือเราจะดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก็คือผู้ถือหุ้น และพนักงาน"นายปรีดา กล่าว
ปัจจุบัน กลุ่ม PRANDA มี 7 โรงงาน อยู่ใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และจีน มีกำลังการผลิตรวม 6.72 ล้านชิ้นต่อปี ฐานการจัดจำหน่ายมีบริษัทย่อย 6 แห่งใน 6 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐ อังกฤษ เยอรมันนี ฝรั่งเศส อินเดีย และไทย ที่ทำหน้าที่จัดจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงการตลาด ปัจจุบันบริษัทมีร้านค้าของตนเองจำนวน 54 แห่ง และระบบแฟรนไชส์ 97 แห่ง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ