นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อันดัสตรี้ (FPI) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปีนี้คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก โดยได้รับปัจจัยหนุนจากออร์เดอร์ใหม่ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) 800 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 450 ล้านบาท และในช่วงที่ผ่านมาได้เจรจางานด้าน OEM กับทาง Toyota และ Nissan ซึ่งมีมูลค่างานรวมราว 335 ล้านบาท
"เรายังคงวางเป้าหมายแนวโน้มรายได้ในปีนี้เติบโต 10% ขณะที่ในส่วนของกำไรสุทธิตั้งเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 10% ของรายได้รวม จากช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำได้ 8.71% แล้ว โดยบริษัทจะเน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงเน้นการผลิตสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง เช่นอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ โดยเน้นการสร้างแบรนด์ของบริษัทเอง ซึ่งจะช่วยผลักดันให้มาร์จิ้นให้ดีขึ้น"นายสมพล กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพื่อลดผลกระทบปัญหาสงครามการค้าจีนและสหรัฐ และเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงธุรกิจ ควบคู่ไปกับการเจรจารับงานใหม่ ๆ เข้ามาต่อเนื่อง และได้มีการลงทุนในสินค้าใหม่ๆเพื่อที่จะขยายตลาดไปยังผู้บริโภคโดยตรง
นอกจากนี้ได้มีการมีการปรับรูปแบบการค้าโดยใช้รูปแบบ Triangle trade หรือการค้าแบบ 3 ฝ่าย โดยย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่สาม และส่งออกไปให้กับลูกค้าในต่างประเทศ โดยการติดยี่ห้อ และการควบคุมมาตรฐานจากบริษัท
ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในจีนต้องการที่จะย้ายฐานการผลิตเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า คาดเห็นความชัดเจนในปีนี้ สำหรับตลาดส่งออกหลักของบริษัทอยู่ในเอเชีย และตะวันออกกลาง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 29.48% รองลงมาคือ อเมริกากลางและใต้ อยู่ที่ 13.02% ส่วนในประเทศอยู่ที่ราว 0.79%
นายสมพล กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการรับงานใหม่ๆ บริษัทได้ขยายพื้นที่ส่วนของงานด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) เพิ่มอีกกว่า 64,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งปัจจุบันแล้วเสร็จราว 70% คาดว่าจะสามารถเข้าใช้งานได้ในไตรมาส 4/62 และขยายการลงทุนแม่พิมพ์ใหม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังคาดว่างาน OEM ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปีข้างหน้า (2562-2564) จะมีรายได้จากงาน OEM มูลค่า 500 ล้านบาท 700 ล้านบาท และ 1,000 ล้านบาท ตามลำดับ