นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บมจ.เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล (JCK) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการคอนโดมิเนียม อาร์ติซาน รัชดา ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม High Rise สูง 34 ชั้น 4 อาคาร มีทั้งหมด 1,337 ยูนิต ในอาคาร Mixed Use ที่มีทั้งส่วน Commercial Area และ พื้นที่สำนักงานแบบ Freehold มูลค่ากว่า 6.8 พันล้านบาท ผ่านการร่วมทุนระหว่าง JCK กับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ในประเทศจีน กลุ่มบริษัท คันทรี่ การ์เด้นฯนั้น ขณะนี้การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์เกือบ 100% และได้รับการตอบรับจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีน เป็นอย่างดี เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ในใจกลางรัชดาภิเษก ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน MRT ถือเป็นทำเลทองที่มีดีมานด์ความต้องการที่อยู่อาศัยสูงมาก
"โครงการคอนโดมิเนียม อาร์ติซาน รัชดา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมาก กวาดยอดขายไปแล้วเกือบ 90% และคาดว่าจะปิดโครงการขายได้ 100% ภายในสิ้นปี 2562 นี้ และจะเริ่มทยอยโอนให้กับลูกค้าในช่วงต้นปี 2563 ได้เลย ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวตั้งแต่ไตรมาส 1 เป็นต้นไป และคาดว่าน่าจะโอนได้หมดภายในไตรมาส 3/63 ผลักดันรายได้และกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด"
นายอภิชัย กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีข่าวคอนโดมิเนียมในตลาดมียอดขายตกค้างอยู่ไม่ต่ำกว่า 300,000 ยูนิตนั้น ไม่ได้สร้างปัญหากับโครงการอาร์ติซาน แต่ด้วยศักยภาพและเน็ตเวิร์คของกลุ่มคันทรี่ การ์เด้นฯ ทำให้ยอดขายของส่วนต่างชาติขายหมด 100% ในเวลาอันสั้น แล้วส่วนของคนในประเทศก็ได้ขายไปกว่า 40% รวมยอดขายทั้งโครงการไปแล้ว 90% คาดว่าจะปิดโครงการภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ JCK เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยรายแรกที่ "คันทรี่ การ์เด้น กรุ๊ป" ซึ่งเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ในประเทศจีน มีโครงการในมือที่สร้าง และพัฒนามาแล้ว มากกว่า 8,000 โครงการ มีเครือข่ายในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก การตัดสินใจเลือก JCK ให้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และร่วมลงทุนในโครงการแรกที่สยายปีกเข้าสู่ประเทศไทย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อบริษัทได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นถึงศักยภาพในการทำงาน, เชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพ, เชื่อมั่นในหลักธรรมาภิบาลของบริษัท
สำหรับแผนการเดินหน้าขยายการลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดนครพนม หลังจากได้เข้าทำสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ จากกรมธนารักษ์ รวม 2 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,335 ไร่ เป็นระยะเวลา 50 ปี เพื่อสร้างโอกาสและรองรับการขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และหรือนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯในระยะยาว
"เราเห็นศักยภาพการเติบโตของจังหวัดนครพนมในอนาคต ซึ่งมีพรมแดนเชื่อมต่อประเทศลาว เวียดนาม และจีน สามารถพัฒนาและยกระดับพื้นที่ดังกล่าวในฐานะศูนย์กลางการขนส่ง และโลจิสติกส์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และอุตสาหกรรมแปรรูปต่าง ๆ ที่สำคัญของประเทศ โดยรูปแบบจะเป็นไปในลักษณะของโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ ผู้ใช้บริการได้อย่างครบวงจร"
ทั้งนี้ คาดว่าการลงทุนในสิทธิการเช่าดังกล่าวจะช่วยสร้างโอกาสและรองรับการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ JCK ในระยะยาว